เทศน์บนศาลา

จากโลกสู่ธรรม

๑๓ พ.ค. ๒๕๕๗

จากโลกสู่ธรรม

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

เทศน์บนศาลา วันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๗

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ฟังธรรมะกล่อมเกลาหัวใจของเรา ฟังธรรมๆ ฟังทางโลก ทางโลกเขามีติฉินนินทา การติฉินนินทามันเป็นเรื่องกระแสสังคมกระแสโลก ฟังธรรมๆ มันเรื่องติฉินนินทาเหมือนกัน ติฉินนินทากิเลสตัณหาความทะยานอยากของเราไง กิเลสตัณหาความทะยานอยากของเรามันไม่มีใครข่มขี่ มันเป็นเจ้าวัฏจักร มันอยู่กลางหัวใจของเรา แล้วอวิชชาความไม่รู้ตัวของเรา เราอยู่กระแสโลกๆ ก็ติฉินนินทาทางโลกนั่นแหละ 

แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์คอยติฉินนินทา ติฉินนินทากิเลสของเรา เพราะเราไม่รู้ไม่เห็นไง เพราะเราไม่รู้ไม่เห็นถึงเป็นการติฉินนินทา แต่ถ้าเรารู้เราเห็นนะ เวลาเราทุกข์ เราทุกข์ยากจากใคร เวลาเราทุกข์ เราทุกข์ยากจากความไม่รู้ในใจของเรา มันพาให้เราทุกข์ยาก แล้วเราก็อยากจะมีความสุขๆ เราต้องการประหัตประหารมันให้พ้นไปจากหัวใจของเรา แต่เราไม่มีสติปัญญาสามารถจะรู้ได้ว่ามันคืออะไร แล้วมันอยู่อย่างไร

เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราได้แต่ชื่อของมันมา สิ่งที่เลวร้ายก็คือกิเลส แต่ของเรา เรามีแต่ความทุกข์ความยาก ความทุกข์ความยากเกิดจากอะไร เกิดจากกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันแสวงหาผลประโยชน์ของมัน แล้วมันคายพิษเอาไว้ในใจของเรา สิ่งที่เหลือนั้นคือผล คือวิบากกรรมที่มันได้ทำมา ตัณหาความทะยานอยากมันอาศัยขันธ์ ๕ อาศัยความรู้สึกของเราออกไปแสวงหาผลประโยชน์ของมัน 

ผลประโยชน์ของมันคืออะไร

ผลประโยชน์ของมันคือความโลภไง ความโลภ ความโกรธ ความหลง ที่มันแสวงหามาเผาลนหัวใจของเราไง เราถึงไม่รู้จักตัวมัน ไม่เห็นหน้ามัน

ฉะนั้น ครูบาอาจารย์เวลาท่านพูด ท่านพูดถึงกิเลสตัณหาความทะยานอยากก็พูดถึงสิ่งที่มีอยู่ในใจของเรานี่แหละ ถ้ามีอยู่ในใจของเรา เราทำอย่างไรเพื่อให้ใจของเรามันสะอาดบริสุทธิ์ล่ะ เพื่อให้ใจของเราเป็นอิสรภาพ เป็นอิสรภาพจากการควบคุมของอวิชชาของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แต่เพราะเราไม่เข้าใจไง เราไม่เข้าใจ เราไม่รู้ของเรา เราว่าเรามีการศึกษา เรารู้ของเรามาก มีความรู้มาก ความรู้กิเลสทั้งนั้น

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ วันนี้วันที่ประสูติ ประสูติมาก็เป็นโลกๆ แบบเรานี่แหละ เป็นโลกๆ แบบเราเพราะอะไร เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามาเป็นพระโพธิสัตว์ คำว่า “พระโพธิสัตว์” คือผู้ที่สร้างบุญกุศลทำคุณงามความดีมาตลอด แล้วมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาพยากรณ์แล้วเรากลับไม่ได้ ถึงต้องทำคุณงามความดีไปข้างหน้า เพื่อจะบรรลุธรรมเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปข้างหน้านั้น 

ฉะนั้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างบุญญาธิการมาสมบูรณ์แล้ว วันนี้ถึงได้มาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะไง เกิดมาก็เป็นโลก เพราะมีนางพิมพา เกิดมาเป็นโลก อยู่กับโลกมา เพราะมีอยู่กับโลก แต่เพราะได้สร้างอำนาจวาสนามาถึงได้คิดไง ถึงได้คิดแสวงหา คิดหาความพ้นทุกข์ เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย มันต้องมีฝั่งตรงข้ามที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย 

สิ่งที่เกิด แก่ เจ็บ ตายมันก็เป็นผลเป็นวิบากกรรมทำให้เราทุกข์เรายาก เห็นไหมดูสิ เวลาชราคร่ำคร่าไป เรานี่ถ้าเป็นหนุ่มเป็นสาวขึ้นมา เรายังเคลื่อนไหวได้ด้วยความสะดวกสบาย เราก็ยังมีความทุกข์ขนาดนี้ แล้วคนแก่คนเฒ่าเขาก็อยากจะเคลื่อนไหวเป็นปกติ แต่มันชราคร่ำคร่าไป คนแก่ คนเจ็บ เวลามันชราคร่ำคร่ามันก็เจ็บของมัน เวลาเจ็บของมันแล้วมันก็ต้องตาย ถึงที่สุดมันก็สิ้นชีวิตนั้นไป คนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย ผลของวัฏฏะ นี่เรื่องโลกๆ 

พระโพธิสัตว์เวลาเป็นพระเวสสันดรเป็นต่างๆ ก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนี้ จิตของเราก็เวียนว่ายตายเกิดมาเหมือนกันนี่เป็นเรื่องโลก ถ้าเป็นเรื่องโลก ผลของวัฏฏะ เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แต่ในปัจจุบันนี้เรามาเกิดเป็นเรา นี่ก็เป็นเรื่องโลกเหมือนกัน 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เกิดมาจากโลก แล้วจากโลกสู่ธรรม เวลาออกประพฤติปฏิบัติอยู่ ๖ ปี จากโลกออกค้นคว้าอยู่ ค้นคว้าสมบุกสมบันเต็มที่ ทุกรกิริยาขนาดไหนก็ทำ สิ่งที่โลกเขาทำได้ขนาดไหน เพราะคนที่มีจิตใจเข้มแข็ง คนที่มีอำนาจวาสนาบารมีมันต่อสู้ด้วยได้ทั้งนั้น สลบถึง ๓ หนนะ กลั้นลมหายใจสลบถึง ๓ หน ถ้าเราสลบไม่ฟื้นก็ตาย ก็เสียสละชีวิตถึง ๓ ครั้ง เพียงแต่คนมีอำนาจวาสนามันไม่ตายไง พอมันไม่ตายขึ้นมามันไปไม่รอด เพราะว่าทำโดยโลก ทำโดยวิทยาศาสตร์ โดยทฤษฎี โดยการวิเคราะห์วิจัยของกิเลสมันพาทำ 

ฉะนั้น เวลามันไปไม่รอดแล้ว ไปไม่รอดกลับมา กลับมาถึงกำหนดอานาปานสติ อานาปานสติแล้วบุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ นี่ไง วันนี้ตรัสรู้ธรรม พอตรัสรู้ธรรมขึ้นมาจากโลกสู่ธรรม จากโลกสู่ธรรม มีองค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้า แล้วก็มีพระธรรม เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบรรลุธรรมๆ

แล้วก็บอก “ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม” เราคิดกัน เราศึกษากัน เราว่าธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม มันมีพุทธะ มันมีชีวิตไง ความดั้งเดิมของเราคือมีจิต ปฏิสนธิจิตเวียนว่ายตายเกิดมีอยู่โดยดั้งเดิม แต่คุณงามความดี บุญกับบาป ดีกับชั่ว ความดั้งเดิม ดั้งเดิมมาจากไหนล่ะ

ธรรมะที่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละองค์ที่ตรัสรู้มาแล้ว องค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นองค์ที่ ๔ สิ่งที่องค์ที่ ๔ มันก็ต้องแสวงหาสิ่งที่มีอยู่โดยดั้งเดิมคือธรรมชาติ ธรรมชาติที่รู้ คือธาตุรู้ คือพุทธะ คือความรู้สึกของเรานี่ดั้งเดิม แต่กิเลสมันครอบงำๆ เห็นไหม 

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากโลกสู่ธรรม แล้วตรัสรู้แล้ววางธรรมวินัย รื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์เพราะอะไร เพราะสร้างอำนาจวาสนาบารมี การสร้างอำนาจวาสนาบารมี ดูสิ เราเกิดกันในโลก เรามีพ่อมีแม่ใช่ไหม มีปู่ย่าตายายใช่ไหม การเลี้ยงดูมา พอเราเกิดเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา เราก็มีครอบครัวของเรา เราก็ดูแลกันต่อไปใช่ไหม นี่ไง สิ่งที่เวียนว่ายตายเกิดมันมีบริษัทบริวาร มันมีการกระทำกันมา การรื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์ตรงนี้ไง รื้อสัตว์ขนสัตว์เพราะว่าสัตว์โลกเวียนว่ายตายเกิด 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้มีบุญ เห็นไหม ในบรรดาสัตว์ ๒ เท้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด เวลาประเสริฐที่สุดนี่จะรื้อสัตว์ขนสัตว์แล้วรื้อสัตว์ขนสัตว์ เทศนาว่าการ ได้พระอัญญาโกณฑัญญะ พอได้พระอัญญาโกณ-ฑัญญะเป็นสงฆ์องค์แรกของโลก นี่องค์แรกของโลก ครบพระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แก้วสารพัดนึก 

แก้วสารพัดนึกเพราะว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพุทธะ พุทธะ เห็นไหม พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ทำได้จริงในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระพุทธกับพระธรรม เวลาแสดงธรรมๆ ได้พระอัญญาโกณฑัญญะเป็นสงฆ์องค์แรกของโลก สงฆ์องค์แรกของโลกไง นี่ก็เหมือนกัน เวลาครูบาอาจารย์ท่านตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เห็นไหม พุทธะ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์รวมเป็นหนึ่งเดียวในใจของผู้รู้นั้น 

นี่ก็เหมือนกัน เราแสวงหา แสวงหาเพื่อคุณงามความดี เราแสวงหาเพื่อคุณธรรมของเรา คุณธรรมของเรานะ โลกเขาตื่นกัน นี่จากโลก เขาเกิดมาจากโลก เขามั่งมีศรีสุขของเขา เขาประสบความสำเร็จของเขา เขาพอใจของเขา นั่นก็เรื่องของเขา เขาพอใจ เขาพอใจเพราะอะไร เขามีบุญกุศล เขามีความสุข เขาไม่มีความทุกข์เลย มีคนคิดอย่างนี้มากว่าเขามีแต่ความสุขๆ เพราะว่าเขายังหนุ่มยังสาวอยู่ เวลามันจะพลัดพรากมันจะรู้ แม้แต่อวิชชามันปิดบังหัวใจอยู่แล้ว ตัวเองยังหลงใหลไปกับพญามาร ยังคิดว่าตัวเองมีบุญกุศล ตัวเองไม่มีความทุกข์

มันจะเอามาจากไหน ไม่มีความทุกข์ ในเมื่อเราอยู่ในอิริยาบถใดอิริยาบถหนึ่งอยู่อิริยาบถเดียวก็ทนอยู่ไม่ได้อยู่แล้ว ทุกข์คือความที่ทนอยู่ไม่ได้ แล้วใครมันทนอยู่ได้ในอิริยาบถเดียว คิดอยู่ซ้ำซากใครจะคิดอยู่ได้ มันเป็นไปไม่ได้หรอก สิ่งนี้มันเป็นไปไม่ได้ แต่เพราะว่าเขาถือโลกเป็นใหญ่ โลกเป็นใหญ่เขาถือความรู้สึกนึกคิดของเขาเป็นใหญ่ไง เพราะถือความรู้สึกนึกคิดของเขาเป็นใหญ่ เขามีทิฏฐิมานะของเขา เขาหลงใหลในความรู้สึกของเขา ถ้าวันใดเขามาสำนึกได้นะ เขาจะเสียใจเลยว่า เขาเสียเวลาที่เขาหลงใหลไปกับสัญญาอารมณ์ของเขา

ฉะนั้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากโลกสู่ธรรมนะ เกิดมาจากโลก จากโลกสู่ธรรม

แต่โดยการศึกษา โดยการค้นคว้าของเรา เราเป็นผู้ที่เป็นปัญญาชนๆ เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราก็ศึกษาได้ ยิ่งปัจจุบันนี้เขาเผยแผ่ขึ้นมาเพื่ออะไร เพื่อให้ประชาชนมีปัญญา เพื่อให้สังคมร่มเย็นเป็นสุข ถ้ามีคุณธรรมในหัวใจแล้วเราจะไม่เบียดเบียนกัน เราไม่ทำความกระทบกระเทือนต่อกัน 

อันนี้มันก็เป็นจริง มันเป็นจริง มันเป็นประเพณีวัฒนธรรม ใครมีประเพณีวัฒนธรรม ใครมีจิตใจไม่เดือดร้อนจนเกินไปนัก เขาไม่เดือดร้อนเกินไป เขาก็เป็นหลัก เขาก็เอาตัวรอดของเขา ถ้าเขาเอาตัวรอดของเขา บริษัทบริวารของเขา เขาพยายามชักนำของเขา สังคมก็ร่มเย็นเป็นสุข มันเป็นวัฒนธรรม มันเป็นประเพณีเรื่องโลกๆ เรื่องโลกๆ เรื่องโลกๆ ไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาจะนิพพาน บอกพระอานนท์ไว้ บอกพระอานนท์ว่า เธอจงบอกประชาชนทั้งหลายนะ บอกให้ปฏิบัติบูชาเถิด ปฏิบัติบูชาเราเถิด อย่าบูชาด้วยอามิสเลย

มันเป็นอามิสนะ มันเป็นเรื่องโลกๆ เพราะเป็นคำว่า “โลก” เพราะผู้ที่ปฏิบัติ ครูบาอาจารย์เราท่านปฏิบัติของท่านแล้ว ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ท่านเชื่อมั่นตรงนี้มากนะ ท่านเชื่อมั่นเพราะอะไร เพราะศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าศีลของเรา เรายังไม่ซื่อสัตย์กับตัวเราเอง เรายังหลอกตัวเราเองอยู่ เราจะทำสิ่งใดได้ ถ้าเราทำสิ่งใดได้ มันทำสิ่งใดไม่ได้ เพราะเรารู้ของเราเอง ดูสิ อวิชชาเป็นความไม่รู้ ทั้งๆ ที่ธาตุรู้มันมีของมันอยู่เป็นอวิชชาความไม่รู้ ไม่รู้อะไร ไม่รู้ความดีความชั่ว ไม่รู้วิธีการยับยั้งหัวใจ ไม่รู้ที่เราจะเหนี่ยวรั้งให้หัวใจมันอยู่ในอำนาจของเราได้ นี่คือความไม่รู้ ไม่รู้ก็เอาตัวรอดไม่ได้

สิ่งที่อวิชชาคือความไม่รู้ แล้วเราถือศีลของเรา ถือศีล เห็นไหม เราถือศีล ศีลเราไม่บริสุทธิ์ เราจะปฏิบัติขึ้นมามันก็หลอกตัวเอง พอหลอกตัวเอง ถ้ากิเลสตัณหาความทะยานอยากมันมากขึ้นไป มันก็ว่าทำแล้วเราได้ประโยชน์ ทำแล้วเรามีความสบาย แต่ความจริงมันไม่ใช่ ความจริงมันไม่ใช่เพราะว่าเรายังหลอกตัวเองอยู่เลย

ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามีศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าเราซื่อสัตย์ของเรา ถ้าเราทำความปกติของเราขึ้นมา เราศึกษามาขนาดไหน ศึกษามา ศึกษานี้เป็นโลกๆ นะ คำว่า “โลก” แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากโลก จากโลกที่เกิดมากับโลก ท่านปฏิบัติมาของท่านจนเข้าสู่สัจธรรม เห็นไหม มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

เราปฏิบัติกัน เรามีศึกษา เรามีปัญญา มันเป็นเรื่องธรรมะขององค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราจะเอาธรรมเข้าสู่โลก เราเอาธรรมเข้าสู่โลก โลกคืออะไร โลกคือทิฏฐิมานะไง โลกคือโลกทัศน์ของเราไง คือความรู้ความเห็นของเรา ศึกษาธรรมมา ศึกษามาจะบังคับให้เป็นแบบนั้น แล้วเวลาจะประพฤติปฏิบัติก็ปฏิบัติเอาแต่ความพอใจของตัว เอาแต่ความพอใจของตัวนะ

ที่ไหน เห็นไหม ดูสิ เวลาในนวโกวาท ที่ไหนเขามีการขับร้องไปที่นั่น นักเลงเที่ยวกลางคืน นักเลงต่างๆ ที่ไหนมีมหรสพมีการขับร้องไปที่นั่น นี่ก็เหมือนกัน ในกระแสสังคม ที่ว่าการประพฤติปฏิบัติที่ไหนเขาบอกว่าจะสะดวกสบายจะไปที่นั่น ที่ไหนเขาพูดธรรมะ พูดธรรมะเราเข้าใจได้ เราจะไปที่นั่น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้ในกาลามสูตร เห็นไหม ไม่ให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อว่ามันเทียบเคียงแล้วมันจะเป็นเหมือนเรา ไม่ให้เชื่อว่ามันจะเป็นได้แบบเรา ไม่ให้เชื่อๆ

แต่นี่เราเชื่อ นี่ไง ถึงว่าเวลาศึกษาธรรมก็ว่าเป็นธรรมๆ เป็นธรรมขององค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็อ้างธรรมไง อ้างธรรมมาบังหน้า แต่มันเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากทั้งนั้น มันไม่เป็นจริง ถ้ามันไม่เป็นจริง เราปฏิบัติมันจะเป็นจริงขึ้นมาได้อย่างไร มันไม่เป็นจริง ถึงบอกว่า เอาธรรมเข้าสู่โลก

เอาธรรมคืออะไร?

เอาธรรมคือศึกษาธรรม ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเป็นความจำนะ เป็นสัญญา ที่ว่า เราเข้าใจกันว่า มีการศึกษาแล้วโลกจะเจริญๆ มันเจริญทางวัตถุ มันไปเจริญทางโลก ยิ่งก่อสร้างยิ่งกระทำขนาดไหน มันต้องบำรุงรักษาทั้งนั้น มันเสื่อมสภาพทั้งนั้น ยิ่งใครมีมากยิ่งต้องดูแลมาก ใครมีมากยิ่งทุกข์มาก ใครมีมากยิ่งต้องบริหารจัดการมาก 

แต่ถ้าใครมีพอประมาณ เห็นไหม พอประมาณ แล้วเรากลับมาดูแลหัวใจของเรา เรามีพอประมาณของเรา เราดูแลหัวใจของเรา ดูแลตรงไหน ดูแลตรงที่ไม่ให้มันดิ้นรนจนเกินไปนัก ปัจจัยเครื่องอาศัยเรามีพอดำรงชีวิตอยู่แล้ว เราจะเอาคุณงามความดีของเรา เราจะประพฤติปฏิบัติของเรา 

นี่ไง ถ้ามันไม่มีสติปัญญาอย่างนี้ มันก็คิดแต่ว่าการได้มา การแสวงหามาด้วยปัญญา นี่ปัญญาทางโลกไง เจริญทางโลกแต่หัวใจยุบยอบ หัวใจมีแต่ความกังวล หัวใจมีแต่ความทุกข์ความยาก แล้วความทุกข์ความยากมันคืออะไรล่ะ มันก็คือกิเลสไง

ความทุกข์ความยาก เห็นไหม ตัณหา วิภวตัณหา สิ่งที่ต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นมันเผาลนหัวใจของเรา แล้วหัวใจของเรา เราศึกษาธรรมมา ศึกษามาด้วยสัญญา ศึกษามาด้วยคุณธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เป็นธรรม นี่บังคับธรรมให้เข้าสู่โลก เข้าสู่ทิฏฐิมานะของตัว เข้าสู่ความเห็นของตัว เข้าสู่ที่ตัวเองพอใจ ถ้าเข้าสู่ที่ตัวเองพอใจ มันจะเป็นธรรมไหมล่ะ มันไม่เป็นธรรมเพราะอะไร เพราะมันมีทิฏฐิมีมานะ มันเป็นมิจฉาทิฏฐิ มันไม่เป็นสัมมาทิฏฐิ 

ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิ เห็นไหม จากโลกสู่ธรรมๆ จากโลกคืออะไร จากโลกคือโลกทัศน์ จากโลกคือความเห็นของเรา โลกคือหมู่สัตว์ โลกคือหัวใจของเรานี่แหละ โลกคือพุทโธของเรา โลกคือผู้รู้ของเรา โลกคือพุทธะของเรา แต่เราหาพุทธะของเราไม่เจอไง เราหาพุทธะของเราไม่เจอ เราหาพระพุทธเจ้าของเราไม่ได้ เราถึงไม่ได้สิ่งนี้มา 

ถ้าเราได้สิ่งนี้มา เห็นไหม ศึกษามาแล้วต้องวางไว้ นี่มันเป็นเรื่องปัญญาโลก โลกียปัญญา จะบอกว่า มันต้องขจัดสิ่งนี้ไปให้หมดสิ้นจากใจของเรา ไม่ใช่มันไม่ใช่การขจัดให้หมดสิ้นไป มันต้องมีสติปัญญาแยกแยะให้ได้ แยกแยะให้ได้เพราะอะไร เพราะเราศึกษา ศึกษาด้วยสติปัญญาของเรา ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ศึกษาโดยโลก โดยความเห็นของเรา 

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ การศึกษามา ท่านศึกษามาเพื่อจะเป็นกษัตริย์ แล้วจะได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ จะได้ปกครองคน นั่นคืออะไร นั่นคือปัญญาทั้งนั้น แล้วเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปประพฤติปฏิบัติขึ้นมายังไปศึกษาต่อนะ ไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ ศึกษามาแล้ว ศึกษามาไม่มีสิ่งใดเป็นความจริงเลย ละทิ้งเขามาหมดเลย ละทิ้งทั้งหมด 

แล้วท่านระลึกได้เองว่า “ตอนที่เป็นราชกุมาร ตอนกำหนดอานาปานสติ กำหนดลมหายใจเข้าออกนั่นแหละ สิ่งนั้นที่ทำได้มันมีความสุข มีความร่มเย็น” มีความสุขอันนั้นก็กำหนดอันนั้น ที่ศึกษามามากทั้งหมดเท่าไรท่านทิ้งหมดเลย แล้วเวลาท่านปฏิบัติขึ้นมา ท่านปฏิบัติตามความจริงในหัวใจของท่าน นี่จากโลกสู่ธรรม สู่ธรรมคือความจริงไง

เราเรียนปริยัติมา ปริยัติก็เป็นโลกทั้งนั้น ถึงจะเรียนธรรมขององค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้ามันก็เป็นโลก เป็นโลกเพราะอะไร เป็นทิฏฐิมานะ เป็นความเห็นของเรา มีความเห็นของเราก็ยึดมั่นของเราว่าความเห็นของเราต้องถูกต้องดีงาม แล้วปฏิบัติก็จะปฏิบัติตามนั้น ปฏิบัติตามนั้นก็สร้างภาพ จินตมยปัญญา ถ้าจินตมยปัญญาไม่มีครูบา-อาจารย์มันเตลิดเปิดเปิงไป แล้วเราล่ะ เราก็ยังเอาทิฏฐิมานะใช่ไหม “พุทธพจน์ๆ องค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าอย่างนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าอย่างนั้น แต่การปฏิบัติของเราไม่เป็นความจริงของเรา 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าอย่างนั้น เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้าได้ประพฤติปฏิบัติได้รสของธรรม เวลาชำระล้างกิเลสเสวยวิมุตติสุขๆ วิมุตติ-สุข สุขแตกต่างจากโลก สุขที่โลกนี้ไม่มี ท่านเสวยวิมุตติสุขเพราะอะไรล่ะ เพราะมีคุณธรรมจริง เพราะมีความรู้จริง นี่จากโลกสู่ธรรม 

ฉะนั้น เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติ เราต้องมีแบบอย่าง เรามีแบบอย่าง เห็นไหม ศึกษามาเท่าไรแล้วศึกษามาเป็นทางวิชา ศึกษามาเพื่อไม่ให้โดนหลอก ถูกต้อง เวลาศึกษาเพื่อไม่ให้โดนหลอก พระพุทธศาสนาสอนเรื่องอะไร พระพุทธศาสนามีคุณธรรมอะไร มรรคผลนิพพานยังมีอยู่หรือเปล่า นรกสวรรค์มีอยู่จริงหรือเปล่า เราศึกษามา ยิ่งศึกษามา ศึกษาจนจับต้นชนปลายไม่ถูก 

แต่ถ้าเราจะประพฤติปฏิบัติจริงนะ นรก สวรรค์ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้า พระโมคคัลลานะ เวลาชาวราชคฤห์คนใดที่สิ้นชีวิตไป พระโมคคัลลานะไปสวรรค์ ไปสวรรค์ ไปนรก เห็นว่าตระกูลนั้น คนนั้นอยู่ในตระกูลนั้น ชาตินั้น เวลาตายไปแล้วไปเกิดที่นั่น ไปเสวยภพชาตินั้นๆ เวลามาพยากรณ์ต่อหน้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก ถูกต้อง ถูกต้องหมดเลย” 

สิ่งนี้มันพิสูจน์มาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระโมคคัลลานะ ที่ท่านเทศนาว่าการต่อชาวราชคฤห์ทั้งหมด ท่านพูดของท่าน เพราะผู้รู้กับผู้รู้ ผู้เห็นกับผู้เห็นเขาคุยกันมันจบ รู้เห็นคุยกัน เพียงแต่ว่าพวกเรามืดบอด เราจะเชื่อหรือไม่เชื่อมันเป็นสิทธิของเรา เราจะเชื่อนรกสวรรค์จะมีหรือไม่มี มรรคผลนิพพานจะมีหรือไม่มี เราวางไว้ เราเอาผลประโยชน์ของเราดีกว่า เอาความจริงของเรา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากโลกสู่ธรรม

ไอ้นี่ก็จากโลกทัศน์ของเรา จากทิฏฐิมานะของเรา จากความเห็นของเรา จากความทุกข์ความยากของเรา สิ่งที่จะมีไม่มีนั้นวางไว้ก่อน เราจะเอาความจริงของเรา เราเอาความจริง เราจะพิสูจน์ เห็นไหม 

พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาที่มีมรรคมีผล พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาแห่งปัญญา พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาที่ชำระล้างกิเลสได้ ที่กำจัดกิเลสเราได้ ทำให้จิตดวงนี้ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ต่อไปภายภาคหน้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จมาก่อน แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการมีครูบาอาจารย์ มีพระสมัยพุทธกาลเป็นพระอรหันต์ขึ้นมามากมายมหาศาล แล้วในสมัยปัจจุบันนี้เราก็มีครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติในวงกรรมฐานของเรา ครูบาอาจารย์ของเราท่านเทศนาว่าการ ท่านได้คุยธรรมะกัน ธมฺมสากจฺฉา ได้วิเคราะห์วิจัยกัน ผู้รู้กับผู้รู้คุยกัน

ไอ้พวกเรามันผู้ไม่รู้ ผู้ไม่รู้ถ้าได้ยินผู้รู้ท่านสนทนาธรรมกัน เราฟังแล้วมันก็ยังน่าทึ่ง มันฟังแล้วมันก็ยังมีโอกาส เพราะอะไร เพราะครูบาอาจารย์ของเราท่านเป็นอะไร ท่านก็เป็นคนนี่แหละ ท่านเป็นคน ท่านมาบวช ท่านบวชแล้วท่านประพฤติปฏิบัติสมบุกสมบันของท่านมาจนท่านประสบความสำเร็จของท่าน 

เวลาครูบาอาจารย์ของเรา วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาท่านจะอาจหาญ ท่านจะรื่นเริง รื่นเริงตรงไหน รื่นเริงจนเห็น เห็นคุณไง เห็นคุณขององค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ธรรมขึ้นมาวางธรรมและวินัยนี้ไว้ แล้วผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตามแนวทางอันนี้มา ใครจะเดินมาถึงจุดเป้าหมายอันนี้ได้ๆ เพราะอะไร

เพราะผู้ที่ประพฤติปฏิบัติมันสมบุกสมบันแค่ไหน เราเอง เราเองจะทำความสงบของใจของเรา ให้ทำความสงบของใจให้ใจมันสงบเข้ามา มันยังล้มลุกคลุกคลานขนาดนี้ แล้วเวลาจิตมันก้าวเดินออกไปด้วยมรรคญาณ ด้วยเหตุด้วยผล ในการประพฤติปฏิบัติเข้าไป เห็นไหม จากโลกสู่ธรรม มันจะกระเสือกกระสนของมันไป มันจะพัฒนาของมันไป แล้วถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ เห็นไหม ต้องสมบุกสมบันของเราไป ต้องสมบุกสมบันทั้งๆ ที่มีธรรมวินัยอยู่นี่ ทั้งๆ ที่มีธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แต่เราปัญญาชนไปยึดมั่นถือมั่นในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเป็นธรรมๆ เอาธรรมเข้าสู่โลก เอาธรรมเข้าทิฏฐิมานะของตัว มันไม่เป็นความจริงเพราะอะไร เพราะมันยังไม่ได้ประพฤติปฏิบัติ หรือถ้าประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ประพฤติปฏิบัติแบบโลกๆ แบบมักง่าย ทำแบบสุกเอาเผากิน แล้วก็สรรเสริญเยินยอกันไปว่าสิ่งนั้นเป็นธรรมๆ ถ้ามันเป็นธรรมเวลาสัจธรรมเหตุผลมันไม่มี นี่จากธรรมสู่โลกๆ ทำให้เหลวไหลกันไปหมด เห็นไหม

ดอกบัวเกิดจากโคลนตม ดอกบัวเกิดจากโคลนตมเวลามันชะลูดขึ้นมาแล้ว ถ้ามันพ้นน้ำมาจนเป็นดอกบัว เวลามันบานขึ้นมาแล้วมันไม่กลับไปสู่โคลนตม แต่ดอกบัวเกิดจากโคลนตม กว่าที่มันจะพุ่งขึ้นมา กว่าจะรักษามันพ้นจากสัตว์ แล้วโผล่มาแล้วนะ มันยังพ้นจากเชื้อโรค ผู้ที่ทำบัวเขาจะดูแลรักษาของเขาเพื่อเอาดอกผลของเขา นี่ดอกบัวเกิดจากโคลนตมนะ

นี่เหมือนกัน สิ่งที่มันจะเป็นคุณธรรมขึ้นมา ดูสิ โคลนตมๆ ความโลภ ความโกรธ ความหลงในใจของเรามันเป็นโคลนตม แล้วดอกบัวมันอยู่ไหนล่ะ แล้วความสุขมันอยู่ไหนล่ะ สิ่งที่เอาโคลนตมๆ มันเป็นเลน มันมีปุ๋ย มันมีต่างๆ ที่เม็ดบัว เหง้าบัว มันจะอาศัยเป็นอาหาร มันจะชะลูดขึ้นมาได้ 

นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันจะเป็นจริงจากโลกสู่ธรรม ไม่ใช่จากธรรมสู่โลก ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมที่สะอาดบริสุทธิ์ เราเอาธรรมมาสู่โลกเพราะอะไร เพราะด้วยการตีความของเรา ด้วยเรายึดทิฏฐิมานะความเห็นของเรา แล้วเวลาปฏิบัติไปด้วยความด้อยปัญญา ด้วยความไม่รอบคอบ เวลาปฏิบัติไปก็เข้าใจกันไปตามนั้น

แต่เวลาเราจะเอาความจริงกันมา เอาความจริงมันอยู่ที่ไหนล่ะ เอาความจริงมันอยู่ที่ปัจจัตตัง มันอยู่ที่สันทิฏฐิโก ความเป็นจริงในหัวใจของเรา 

ถ้ามันทุกข์มันยาก มันทุกข์มันยาก เห็นไหม ถ้ามันโอ้โลมปฏิโลมกัน ปลอบประโลมกัน มันก็ของชั่วคราวๆ เท่านั้น ไม่มีใครปลอบหรอก ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป เวลามีความทุกข์นาดไหน กาลเวลามันทำให้เจือจางไปเอง เวลาเจือจางมันก็ไปทุกข์อันใหม่ ไปทุกข์ต่อเนื่องกันไปไม่มีวันจบหรอก มันมีเหตุมีปัจจัยของมัน มันจะมีเหตุมีผลของมันไปอย่างนั้นไม่มีวันจบสิ้น

แต่มันจะจบสิ้น จบสิ้นตรงที่นี่ไง จบสิ้นที่จากโลกสู่ธรรม จากทิฏฐิมานะของเรา จากความเห็นของเรา จากความทุกข์ความยากของเรา เราจะทำความสงบของใจให้ได้ ถ้าใจสงบขึ้นมามันจะเริ่มต้นจากโลกสู่ธรรมๆ เห็นไหม 

ดอกบัวเกิดจากโคลนตม โคลนตมคือหัวใจของเรา โคลนตมคือความทุกข์ความยากในใจ ความทุกข์ความยากเพราะเราเห็นความทุกข์ความยากของเรา เราอาบเหงื่อต่างน้ำทำหน้าที่การงานขึ้นมาเพื่อหาปัจจัยเครื่องอาศัย ถ้าใครเป็นพ่อเป็นแม่ก็อยากให้ลูกของตัวเองมั่นคง ให้ลูกของตัวเองยืนในสังคมได้ พ่อแม่หวังขนาดนั้นจริงๆ นะ พ่อแม่เห็นว่าลูกมีความสุข พ่อแม่ก็พอใจแล้ว แล้วคิดดูสิ ชีวิตคนชีวิตหนึ่ง ดูสิ มันก็เวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนี้ แล้วชีวิตชีวิตหนึ่งมันได้สร้างเวรสร้างกรรมของมันมา ล้มลุกคลุกคลานมาขนาดไหน ล้มลุกคลุกคลานในหัวใจนะ

ล้มลุกคลุกคลานทางโลก เห็นไหม ล้มลุกคลุกคลานเพราะหน้าที่การงานก็เรื่องหนึ่ง เรื่องทางเศรษฐกิจ ถ้าล้มลุกคลุกคลานในหัวใจ มันจะมีมากมีน้อยขนาดไหนมันไม่พอใจ มันเผาลน ใจมันทุกข์ ถ้าใจมันทุกข์ เห็นไหม หน้าชื่นอกตรม เวลาอยู่ด้วยกันก็มีแต่การจะเจือจานกันด้วยอารมณ์ความรู้สึก แต่ในหัวใจมันมีความสุขได้อย่างไร มันเฉา มันเหงา มันหงอยนะ

ในสโมสรสันนิบาตทุกดวงใจว้าเหว่ คำว่า “ดวงใจว้าเหว่” มันจะมีมากน้อยขนาดไหน แต่เราพึ่งพาอะไรกันได้ล่ะ มันก็ใช้สอยในชาติปัจจุบันนี้ แล้วสุดท้ายเวลามันตายแล้วมันจะไปไหนล่ะ เวลาอยู่นี่มันก็ไม่มีความสุขจริง ความสุขจริงมันไม่มี ความสุขจริงสิ่งนั้นมันเป็นอามิสทั้งหมด สิ่งที่อามิส อยากได้สิ่งใด กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันขับดันแค่ไหน ก็เอาสิ่งนั้นมาเสพ หามาปรนเปรอมัน 

พอหามาปรนเปรอมัน มันก็พอใจพักหนึ่ง แต่มันพอใจพักหนึ่งเดี๋ยวมันก็ต้องการอีก มันต้องการมันมีวันจบสิ้นไหม แล้วเราจะมีปัญญาหามาปรนเปรอมันมากมายขนาดไหน ตัณหามันล้นฝั่ง มันไม่เคยพอใจ สิ่งที่มันได้แล้วมันไม่เคยพอใจ มันจะได้มากขึ้นไปเรื่อยๆ มันล้นฝั่งอยู่เรื่อย เราถึงต้องมีสติมีปัญญาไง

เรามาถือศีลกัน เรามาประพฤติปฏิบัติกัน ศีล ๘ ไม่ร้องรำทำเพลง ไม่ดูมหรสพสมโภช เขาบอกว่ามันเป็นชีวิตจืดชืด แล้วชีวิตที่มันสดชื่นมันมีความสุขขนาดไหน ชีวิตที่เขารื่นเริงมันจะมีความสุขขนาดไหน นั่นมันก็เป็นทางออกของกิเลส นี่ไง จากธรรมสู่โลกๆ มันก็เป็นจากธรรมสู่โลก มันก็เอาไว้บังคับกันไง ว่าชีวิตที่รื่นเริง ชีวิตที่มีความสุข ชีวิตที่มีความพอใจ นี่มันคือความประมาท 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้แล้วไม่ให้ประมาท ถ้าเราไม่ประมาทกับชีวิต เห็นไหม แม้แต่นักปฏิบัติเรา การเดินไป การก้าว การเดิน การกระทำให้มีสติตลอด ต้องฝึกขนาดนั้นนะ ครูบาอาจารย์ของเราเวลาท่านประพฤติปฏิบัติใหม่ๆ พุทโธ ๒๔ ชั่วโมง พุทโธตลอดเวลา พุทโธไว้เลย มันเหนี่ยวรั้งกัน มันเหนี่ยวรั้งเพราะอะไร เพราะโลกมันแรง เวลาหักดิบมานะ คนที่หักดิบมา ดูสิ คนที่มีศรัทธามีความเชื่อมาก็อยากจะประพฤติปฏิบัติเป็นร่องเป็นรอยมา คนที่มีความทุกข์มา คนที่ความทุกข์มันเผาลนมาแล้ว ก็คิดว่าธรรมะเป็นที่พึ่งที่อาศัย ความทุกข์มันเผาลนมามันมีกำลังมาก เวลาเรามาปฏิบัติกัน ไอ้กำลังอันนั้นเราจะหักดิบๆ หักดิบคือเราตั้งสติเลย ล้มลุกคลุกคลานไปทั้งนั้น เอามันไม่ไหวหรอก กิเลสเวลาอารมณ์มันรุนแรง จะเอามันไว้ได้อย่างไร 

นี่ไง เขาต้องพุทโธๆ สู้กับมันๆ คำว่า “สู้กับมัน” ไม่มีใครเลยทำร้ายเรา กิเลสตัณหาความทะยานอยากของเราเองต่างหากทำร้ายเรา แล้วคนที่สร้างเวรสร้างกรรมมา ทิฏฐิมานะ พันธุกรรมของจิต จิตของใครที่มันเข้มแข็ง จิตของใครที่ก้าวร้าว จิตของใครมันมหัศจรรย์ เวลามันจะสงบ เวลามันต่อต้านขึ้น มันแผลงฤทธิ์ขึ้นมา เราคิดได้ขนาดนี้เชียวหรือ ทำไมเราคิดได้ขนาดนี้ แม้แต่เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเวลากรรมมันมาถึง มันจะมีความรู้สึกเลย จะให้ทำร้ายตัวเอง ทำร้ายตัวเองคือฆ่าตัวตาย มันทำได้ขนาดนั้น แล้วคิดดูสิ ชีวิตนี้มันมีค่าขนาดไหน 

ดูสิ ในประเพณีวัฒนธรรมเขายังมีความเมตตาสงสารกัน เขายังมีการเจือจานกัน เขายังเห็นชีวิตของคนอื่นยังมีค่า ใครตกทุกข์ได้ยากเขายังช่วยเหลือเจือจาน แล้วชีวิตอื่นเขายังมีค่าเลย แล้วชีวิตเราเอง แล้วเราทำร้ายเราเอง ทำไมเราโง่ได้ขนาดนั้น แต่เวลากิเลสมันรุนแรงมันทำได้ขนาดนั้นนะ ดูสิ เวลามันคิดมันคิดได้ขนาดนั้น อย่าว่าแต่ทำร้ายคนอื่นเลย ทำร้ายคนอื่นมันคิดได้หมดล่ะ ถ้าทำร้ายคนอื่นทำจนพอใจแล้ว แล้วทำอย่างไรต่อ ไม่มีทางไปก็จะคิดทำร้ายตัวเอง มันร้ายกาจขนาดนี้กิเลสของเรา กิเลสของเราร้ายกาจอย่างนี้ แล้วจะเอาอะไรไปสู้มันล่ะ

กิเลสกลัวอย่างเดียวคือกลัวธรรมะ กลัวสัจธรรม แล้วสัจธรรมที่มันเป็นจริงเสียด้วยนะ ถ้าสัจธรรมเราไม่มั่นคง สัจธรรมเราไม่จริงจัง เราไม่มีความมั่นคงพอ มันเอาธรรมบังหน้านะ มันไพล่ไปเอาธรรมมาบังเงา เอากิเลสออกหน้า แล้วบอกสิ่งนี้เป็นธรรมๆ แล้วหลอกเรา เราก็เชื่อ ไม่ได้หลอกคนอื่น หลอกเรา หลอกผู้ที่ปฏิบัติ

แต่ถ้าคนที่มีอำนาจวาสนานะ เราไม่เชื่อใดๆ ทั้งสิ้น องค์สมเด็จพระสัมมา-สัมพุทธเจ้าบอกว่า กาลามสูตรไม่ให้เชื่อใดๆ ทั้งสิ้น เราใช้คำบริกรรมของเรา ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง คำบริกรรมพุทโธๆ เกาะมันไว้ให้แน่นๆ แล้วอำนาจวาสนามีเท่าไรทุ่มเทเลย

เวลาครูบาอาจารย์ท่านสอนไว้ ให้โลกนี้เหมือนมีเรากับพุทโธเท่านั้น โลกจะแตกสลาย โลกจะพินาศขนาดไหนช่างหัวมัน ไม่เกี่ยว เรากับพุทโธเท่านั้น” ขณะที่เราทำความสงบของใจ เพราะสิ่งนี้มันเป็นธรรมโอสถ สิ่งนี้มันเป็นพุทธานุสติ มันทำให้จิตใจของเราคลายจากสิ่งที่เป็นทิฏฐิมานะที่มันร้ายนัก ที่มันคิดได้ร้อยแปด

ถ้าเราไม่มีสติ เราไม่มีการควบคุม มันทำสิ่งใดมันอ้าง อ้างว่าสิ่งนั้นเป็นธรรม เราปฏิบัติธรรม เรามีศักยภาพ เราทำได้ดี เราทำได้ดีกว่าพระพุทธเจ้า คิดได้ขนาดนั้นน่ะ ถ้ามันคิดได้ขนาดนั้น คิดดูสิ พระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นแก้วสารพัดนึก ถ้าใจมันลงมันคิดไม่ได้อย่างนั้น เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นฤทธิ์เห็นเดชของมันแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงวางธรรมและวินัยนี้ไว้ให้เราก้าวเดิน แต่เวลาเราจากธรรมสู่โลก เราศึกษาแล้วเอาสิ่งนั้นมาฟาดฟันเราเอง เอาสิ่งนั้นมาทำลายเราเอง ทำลายอะไร ก็ทำลายสิ่งที่จะเกิดขึ้นไง ทั้งๆ ที่ทรัพย์สมบัติยังไม่มี ศีล สมาธิ ปัญญา ยังไม่เกิด จะเอาสิ่งนั้นมาทำลายโอกาสของเรา 

แต่ถ้าเรามั่นคง เรามีสติปัญญา เห็นไหม จากโลกสู่ธรรม เราศึกษามาแล้ว ศึกษามาเพื่อปัญญาเป็นโลกียปัญญา ศึกษามาเพื่อให้เรารู้เท่าทันสังคม ให้เรารู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของหัวใจของคนที่มันแสดงออก กิเลสในหัวใจเราก็มี เวลาพวก ๑๘ มงกุฎเขาหาผลประโยชน์ของเขา เขามาล่อลวงเพื่อเอาผลประโยชน์ของเขา ถ้าเรามีการศึกษา เรามีปัญญาขึ้นมาเราก็รู้เท่า ถ้าเรารู้เท่า เราก็ไม่เป็นเหยื่อของสังคม ไม่เป็นเหยื่อของคนที่มันแสวงหาผลประโยชน์จากเรา มันก็เป็นการดำรงชีวิต มันเป็นมารยาทสังคม เป็นสิ่งที่เราอยู่ในสังคม แต่จะเอาจริงๆ ขึ้นมา สิ่งอย่างนี้สิ่งที่เราศึกษามามันเป็นฉลากยา ฉลากยานี้มันไม่ใช่ตัวยา ฉลากยาที่แปะที่ขวดยา เขาจะบอกว่า ยาชนิดนี้มีคุณสมบัติอย่างนั้น มันใช้ประโยชน์ได้ขนาดนั้น การใช้สอย การกิน การอยู่ ต้องใช้มากน้อยได้ขนาดไหน นั่นคือฉลากยา

เราศึกษาธรรม ศึกษามาเราก็เข้าใจ โลกเขาก็ฉลากยา ศึกษากัน โต้แย้งกันด้วยทฤษฎี ด้วยความเป็นจริง แต่ขณะที่ว่าเราต้องการเนื้อยา เราต้องการธรรมโอสถ เราต้องการสิ่งที่ให้จิตใจของเรามันมีคุณธรรมขึ้นมา กำหนดพุทโธๆ เวลาอ่านฉลากยารู้ไปหมดเลย เวลาพุทโธๆ ทำไมเอาไม่อยู่ล่ะ ถ้ามันเอาไม่อยู่ เห็นไหม มันปราบปรามกันไม่ได้ 

แต่ถ้าเรามีสติ เรามีความเข้มแข็งของเรา เราพุทโธมั่นคง มีสติปัญญาเท่าไร มีเรากับพุทโธเท่านั้น มีเรากับพุทโธเท่านั้น ถ้าใช้ปัญญาอบรมสมาธิก็เต็มที่ของเรา มีสติปัญญาไล่ตามความคิดนี้ให้ทันให้ได้ มันต้องหยุดได้ มันหยุดได้ด้วยอะไร หยุดได้ด้วยสติไง ด้วยสติ ด้วยกำลังของจิตที่มีกำลังขึ้นมา ถ้ามันหยุดได้ เห็นไหม นี่เนื้อยา เนื้อยาเพราะอะไร เพราะมันสงบไง

แต่เดิมเวลากิเลสมันเพ่นพ่านกลางหัวใจของเรา มันคิดสิ่งใด มันปรารถนาสิ่งใดจนเราก็งง เราคิดได้ขนาดนี้เชียวหรือ เราเป็นคนดีคนหนึ่ง เรามีความปรารถนาจะประพฤติปฏิบัติ เรามีความปรารถนาอยากจะพ้นจากทุกข์ เราไม่อยากเกิด ไม่อยากแก่ ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากตายในวัฏฏะนี้อีกต่อไป แต่ทำไมมันคิดได้ขนาดนี้ล่ะ 

ถ้ามันคิดได้ขนาดนี้นะ แล้วมันเป็นจริงไหมมันก็ไม่เป็นจริง ไม่มีสิ่งใดเป็นจริงขึ้นมาเลย แล้วก็ให้กิเลสบังเงา เอาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอ้างอิง นั่นเป็นธรรมๆ จะเอาธรรมไปสู่โลก เอาธรรม เอาสัจธรรม เอาคุณงามความดี เอาสัจจะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปละเลงให้เป็นโลก ให้เป็นทิฏฐิมานะของตัว ให้เป็นความเห็นของตัว มันเลยเป็นโลก เป็นเรื่องโลกๆ กันไป

โลกๆ คืออะไร โลกๆ คืออนิจจังไง โลกนี้ สิ่งใดในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดคงที่ มันแปรสภาพของมันตลอดเวลา แล้วธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันจะเป็นอย่างนั้นหรือ

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เทศนาว่าการที่ให้เราก้าวเดินอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา มันสร้างขึ้นมา สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา มันก็เป็นอนัตตา แต่อนัตตาจริงๆ อนัตตาเป็นตัวยา อนัตตาเป็นธรรมโอสถ อนัตตาที่เรารู้เราเห็น อนัตตาที่เราบริหารจัดการ แต่อนัตตาของโลกๆ เขา มันเป็นธรรมะเป็นธรรมชาติ มันแปรปรวนของมันอยู่อย่างนั้น แล้วเราศึกษาแล้วเราก็ทึ่ง “โอ้ศาสนาพุทธมันพิสูจน์ได้ถึงปัจจุบันนี้ ปัจจุบันนี้พิสูจน์ได้หมดเลย มันพิสูจน์ได้ด้วยพุทธศาสน์ ด้วยความเป็นจริง ทึ่งมากเลย” แต่เราได้อะไร

นี่ไง จากโลกสู่ธรรม จากโลกสู่ธรรมคือสัจธรรม นี้จากธรรมนี้สู่โลก จากธรรมสู่โลกคือธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเอามาวิจัยด้วยปัญญาของเราไง ปัญญาของโลกไง เอาทางโลกๆ มาวิจัยธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วได้แค่นี้ไง

แต่ถ้าเราวางไว้ จากโลกสู่ธรรม เราวางไว้แล้วกำหนดพุทโธซะ แล้วเราใช้ปัญญาอบรมสมาธิซะ พอจิตสงบเข้ามา จากโลก โลกคือโลกทัศน์ โลกคือความเห็นของเรา ถ้าจิตมันสงบ เห็นไหม สงบแล้วทำไมถึงสงบได้ล่ะ ถ้าเมื่อก่อนเราพุทโธไม่ได้ เมื่อก่อนเราใช้ปัญญาอบรมสมาธิมันไม่สงบ มันไม่ยอมลง มันดื้อด้าน เวลากิเลสมันเพ่นพ่าน มันเป็นใหญ่ มันไม่ยอมให้ใครเข้ามายึดพื้นที่ของมันในหัวใจเราแน่นอน

แต่เราพุทโธของเรา เราต่อสู้กับมัน ขับดันกับมัน จนพุทโธๆ มันขับไสจนกิเลสมันตกไปจากหัวใจ ทิฏฐิมานะตัณหาความทะยานอยากตกไปจากหัวใจ พอตกไปจากในหัวใจ สิ่งที่บ้านเรามันเคยมีกิเลสเป็นเจ้าเรือน กิเลสมันพลุกพล่านอยู่บนเรือนนี้ เราพุทโธๆ ต่อต้านกับมัน ทีนี้พุทโธมันก็ขึ้นมาไม่ได้เพราะกิเลสมันเต็มหัวใจ มันก็ผลักไสอยู่อย่างนั้น เราก็เลยล้มลุกคลุกคลานกันอยู่อย่างนี้ไง

จากโลกๆ โลกมันเข้มแข็ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาสละราชวังออกมา ออกไปทุกข์ไปยากอยู่ ๖ ปี ล้มลุกคลุกคลาน ศึกษามาขนาดไหน ทำขนาดไหน แต่กิเลสมันไม่ได้ไปแตะต้องมันเลย มันก็มีความวิตกกังวลอย่างนั้น จนละทิ้งหมด ไปศึกษาจนไม่มีทางไปเลย เห็นไหม 

อานาปานสติจนจิตสงบขึ้นมาได้ พอจิตสงบเข้าไปสู่จิต สู่จิตมันก็บุพเพนิวาสา-นุสติญาณ เออมันก็ยังไปไม่ได้ ยังไปไม่ได้ก็ทำความสงบให้มากขึ้น เข้าไป เข้าไปจุตูปปาตญาณ ญาณหยั่งรู้ในใจของตัวเอง เวลากิเลสมันหลบหน้าไปแล้ว ถ้ามันมีกำลังขึ้นมามันก็เข้าไปเห็น เห็นตัวเห็นตนของมัน บุพเพนิวาสานุสติญาณคือข้อมูล คือการกระทำมา ทำสิ่งใดๆ มา มีอำนาจวาสนามากน้อยขนาดไหน มีปัญญาอย่างนั้น 

เวลามันจุตูปปาตญาณ จิตที่มันยังมีตัณหาความทะยานอยาก มันยังมีพญามารครอบงำมันอยู่ มันต้องไป ภวาสวะภพอันนี้มันยังมีอยู่ มันต้องเกิดของมันไปแน่นอนข้างหน้า 

อาสวักขยญาณทำลายหมดเลย บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ เห็นอดีต อนาคต แล้วปัจจุบัน ปัจจุบันคือภวาสวะ คือตัวภพ คือตัวใจ ทำลายตัวใจตัวนี้หมด เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาอย่างนี้

ฉะนั้น เวลาเราทำความสงบของใจเข้ามา จากโลกสู่ธรรมๆ เราทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าเรามีสติมีปัญญา เราทำความจริงของเราขึ้นมา เราใช้กำลังของสติ เราใช้กำลังของพุทธานุสติๆ พุทธานุสติ สติมันอยู่กับพุทโธ พุทโธมันขับดันๆ จนกิเลสที่มันเพ่นพ่านในหัวใจมันต้องโดนกำจัดออกไปๆ มันก็ดีขึ้น ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ จิตมันก็สงบขึ้นมาได้ พอจิตมันสงบขึ้นมา เห็นไหม จิตสงบ จากโลก นี่โลกทัศน์ ภวาสวะคือตัวภพ ถ้ามันสงบแล้วให้มันเห็นกาย น้อมไปวิปัสสนา น้อมไปเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง จากโลกสู่ธรรมๆ 

จากโลกคืออะไร

เพราะจิตเป็นสัมมาสมาธิ ปุถุชน กัลยาณปุถุชนไง ถ้าปุถุชนคนหนา คนหนากิเลสมันครอบงำ คนหนากระทำสิ่งใดไม่ได้ คนหนาก็ล้มลุกคลุกคลานอยู่อย่างนั้น คนหนา เวลามีสติปัญญาขับไสด้วยคำบริกรรม เพราะคนหนา หนาตรงไหนล่ะ หนาตรงสัญญาอารมณ์ ตรงความรู้สึกนึกคิด ความรู้สึกนึกคิดมันคิดได้ขนาดนี้ นี่คนหนา คนหนาเพราะไม่มีกำลัง กิเลสมันมีอำนาจมากกว่า มันมีกำลังเหนืออยู่บนภวาสวะ บนภพ บนความรู้สึก มันคิดของมันอยู่อย่างนั้น นี่คนหนา 

ถ้าเรามีพุทโธๆ เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิขับไสมันไป ขับให้มันตกไปจากความรู้สึกนึกคิด ความคิดมันเกิดบนจิต ถ้ามันขับไส มันขับไสด้วยอะไร พุทโธ เห็นไหม เพราะเราเอาความคิดที่คิดไปตามกำลังของกิเลสมาคิดเรื่องพุทโธ มาบริกรรมพุทโธๆ บังคับมันๆ จากความคิดที่เลวร้าย ความคิดที่กิเลสเอาเป็นเครื่องมือ ความคิดที่กิเลสมันเอาไปเป็นประโยชน์กับมัน เรามีสติปัญญา เราเปลี่ยนแปลง เราเอาพลังงาน พลังงานคือตัวรู้ ธรรมชาติที่รู้ให้มันอยู่กับพุทโธๆ ให้อยู่กับพุทโธ 

ปฏิบัติใหม่ๆ ยากแค้นแสนเข็ญนะ ปฏิบัติใหม่ๆ เวลาปฏิบัติใหม่ๆ ยาก ยากตรงนี้ ผู้ที่ปฏิบัติยาก ยากตรงนี้ ทั้งๆ ที่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐ ทุกคนก็อยากได้ ทุกคนก็ปรารถนา แต่ทำไมมันทำไม่ได้ ทำไม่ได้ เห็นไหม

แม่ครัวคนที่ทำครัวเขาต้องมีมีด มีเขียง มีทุกอย่างพร้อม เขาถึงทำครัวได้ ไม่มีสิ่งใดจะทำครัวได้อย่างไร นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อเราจะมีคุณธรรมนะ เราอยากเป็นคนที่มีคุณธรรม เราไม่มีอะไรเป็นเครื่องมือเลย จะมีคุณธรรมมาจากไหนล่ะ ถ้าเรามีสติ เรามีคำบริกรรม มันก็จะหาเครื่องมือมา ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามีสมาธิขึ้นมา มันก็มีทุกอย่างพร้อม วัตถุดิบมีพร้อม จะแกงก็มีเครื่องแกง จะต้ม จะผัด มันมีทุกอย่างพร้อมหมดเลย จะทำอะไรหยิบฉวยมาทำได้หมดเลย 

แต่ถ้ามันไม่มีอะไรเลย จะเอาอะไรไปทำ ถ้าไม่มีสติ ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญาเลย เราจะเอาอะไรไปทำ สิ่งที่ทำอยู่ เอาธรรมมาสู่โลกไง อาหารมาแล้ว อาหารมันสำเร็จมาแล้ว เขาถ่ายรูปมา แล้วถ่ายรูปมาแล้วมันผสมด้วยสิ่งใด มันก็เลยไม่เป็นอาหาร เป็นรูปถ่ายอาหาร เพราะอาหารนี้เป็นอาหารขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะนี้เป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะที่มีอยู่โดยดั้งเดิม ทุกคนว่าธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม มันมีอยู่แล้วๆ มันตู่เอา มันตู่มันมีอยู่แล้ว

ทุกคนเกิดมารวยหมดเลย ทุกคนเกิดมามีเงินมีทองหมดเลย มันเป็นไปได้อย่างไรล่ะ มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันจะมีเงินทองต่อเมื่อคนคนนั้นเป็นลูกเศรษฐีมหาเศรษฐี พ่อแม่เขาเป็นเศรษฐี เขาหาเงินไว้ของเขาแล้ว เขาเกิดมาเขาก็ได้มรดกตกทอด เขาก็ได้มีเงินมีทองของเขา ไอ้เราเกิดมาทุกข์จนเข็ญใจ พ่อแม่หาเช้ากินค่ำ แล้วบอกว่าเราเกิดมาแล้วเราจะร่ำรวย มันเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะเราเกิดมาจากพ่อแม่ที่หาเช้ากินค่ำ เราจะเป็นเศรษฐีขึ้นมา เราต้องทำของเราขึ้นมาเอง มันถึงเป็นเศรษฐีขึ้นมา เห็นไหม 

มันมีที่มาที่ไป จิตที่มันจะเกิด เกิดในวัฏฏะ คนที่ทำคุณงามความดี คนที่สร้างบุญกุศลของเขามา เวลาเขาเกิดมา เขามีอำนาจวาสนาบารมี ขิปปาภิญญาเขาปฏิบัติง่ายรู้ง่าย เขาได้สร้างของเขามา 

ไอ้ของเรา เราทำของเรามาปานกลาง เราทำของเรามาด้วยกำลังของเรา เราถึงมีศรัทธามีความเชื่อของเรา เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เรายังกระเสือกกระสน เรายังไปของเรา พ่อแม่ของเราหาเช้ากินค่ำ แต่ก็ให้ชีวิตเรามา พอให้ชีวิตเรามา เรามีสติปัญญา เรามีการศึกษาขึ้นมา เราก็มีปัญญาที่จะหาอยู่หากินของเราเหมือนกัน ถ้าเราหาอยู่หากินของเรา เราก็ทำงานหน้าที่การงานของเราขึ้นมา ถ้าทำหน้าที่การงานมันประสบความสำเร็จขึ้นมา เราก็มีเงินมีทองเหมือนกัน เราก็เป็นเศรษฐีของเราได้เหมือนกัน 

ถ้าเป็นเศรษฐีได้มันอยู่ที่จิตหนึ่ง จิตของใครก็แล้วแต่ ใครสร้างอำนาจวาสนามาขนาดไหน มันก็ต้องอาศัยอำนาจวาสนาของเรา เราต้องทำของเรา เห็นไหม ปฏิบัติตามความเป็นจริง เราต้องปฏิบัติตามความเป็นจริงสิ ถ้าเรามีสติปัญญา เราพุทโธของเรา พยายามกระทำของเรา ให้กิเลสที่มันอยู่บนหัวใจของเรา ความรู้สึกนึกคิดที่ตัณหาความทะยานอยาก พุทโธๆๆ ไว้ ขับไสมัน มันต้องตกไป มันต้องจางไป มันต้องเบาไป เบาไปเพราะอะไร 

เพราะสิ่งนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติมาแล้ว องค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้สั่งสอนไว้เอง ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสั่งสอนไว้เอง เราทำปฏิบัติตามความจริงอันนั้น เราไม่ได้ปฏิบัติจากธรรมสู่โลกๆ คือเอาคุณธรรมมาก่อน แล้วปฏิบัติจะให้เป็นอย่างนั้นๆ นี่กิเลสมันหลอก 

ถ้าจากโลกสู่ธรรม เห็นไหม เราปฏิบัติโดยความทุกข์ความยากของเรา ปฏิบัติโดยความจริงของเรา เราทำความจริงของเราขึ้นมา ถ้าเป็นจริงขึ้นมา ผลมันต้องเกิด ถ้าผลมันเกิดมันก็เป็นความจริง มันไม่ใช่ฉลากยา มันเป็นตัวยาแล้ว ธรรมโอสถมันเกิด ถ้าธรรมโอสถมันเกิดขึ้นมา เรารับรู้ได้ รับรู้ได้ก็มีความสุข

สมาธิคือความสงบ ความสงบจะให้ความร่มเย็นเป็นสุข เพราะมีความสงบ ถ้าจิตมันสงบแล้ว ข้างนอกเขาจะเดือดร้อน ข้างนอกเขาจะหวั่นไหวขนาดไหน จิตใจมันก็ไม่เร่าร้อนไปกับเขา แต่ถ้าหัวใจของเรามันมีแต่ความทุกข์ความยาก ไม่ต้องให้ข้างนอกมาหวั่นไหวหรอก ข้างนอกจะมีแต่ลมพัดใบไม้ มันก็ไม่พอใจแล้ว แต่ถ้าจิตใจเราสงบนะ ข้างนอกมันจะกระทบกระเทือนขนาดไหน จิตใจเราก็มีความสงบของเราได้ ถ้าจิตใจมีความสงบมีความสุข เพราะจิตมันสงบมันถึงมีความสุข ความสุขเพราะมันอิ่มเอม ความสุขเพราะพอใจ ความสุขเพราะอุ่นใจไง

แต่เดิมตะครุบเงาไปตลอด คนเรานะ เกิดมานะ ไม่รู้เหนือรู้ใต้เลย มันว้าเหว่นะ มันว้าเหว่ มันมีความทุกข์ตลอด แต่คนเราเกิดมา เรารู้จักตัวตนของเรา เรามีเสบียงของเรา เรามีอาหารการกินของเรา เพราะทำความสงบของใจเข้ามา ในธรรมขององค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าบอกมันมีบ้านมีเรือนที่อาศัย คนเรามันเร่ร่อน มันไม่มีที่อาศัยเลย มันทุกข์มันยากไหม แต่คนเรา เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจนจิตเรามีสมาธิ มันมีที่อยู่อาศัยของเรา คนที่มีที่อยู่อาศัย เราไม่ใช่คนเร่ร่อน เราไม่ทุกข์ยากไปกับเขาหรอก

ถ้าจิตสงบเรามีความสุข แล้วมีความสุขแล้ว เราก็อยากให้มันสงบต่อเนื่องกันไป เราก็พยายามทำความสงบให้มากขึ้น ชำนาญในวสี ชำนาญในการเข้าการออก ชำนาญในการเข้านะ แล้วฝึกหัดใช้ปัญญาของเราไป ฝึกหัดใช้ปัญญา ปัญญาในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม ปัญญาฝึกฝนของเรา ปัญญาจะไม่เกิดที่อื่น

ทางโลกเขา เห็นไหม เขาเกิดปัญญาเพราะเขาบริหารจัดการ เขาเกิดปัญญาเพราะเขาทำธุรกิจ เขาเกิดปัญญาขึ้นมาเพราะเขาทำหน้าที่การงานของเขา เขาจะเกิดประโยชน์กับเขา อันนั้นเขาเรียกว่าปัญญา โลกเขาเรียกว่าปัญญา ปัญญานั้นมันเป็นวิชาชีพ มันเป็นหน้าที่การงานของโลก ใครศึกษามาทางใด ใครมีอาชีพสิ่งใด เขาก็ต้องมีปัญญารอบคอบในอาชีพของเขาเพื่อให้อาชีพของเขามั่นคง นั้นปัญญาทางโลก ไม่เกี่ยวกับการชำระล้างกิเลสเลย ไม่เกี่ยวเลย 

ใครจะมีสติปัญญามากน้อยขนาดไหน อันนั้นเขาเรียกมีบารมี มีคนละเอียดรอบคอบ มีคนพลั้งเผลอ มีคนประมาทเลินเล่อ นั้นคือเขาสร้างของเขามา แต่เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติธรรม จากโลกสู่ธรรมๆ พอจิตมันสงบแล้ว จากโลกๆ ขณะสงบแล้วจะมีความสุข เพราะสงบถึงมีความสุข ถ้าฟุ้งซ่านก็มีความทุกข์ ถ้ามีตัณหาความทะยานอยากมันก็เผาลนใจ ถ้าเรามีความสงบของใจเพราะมันไม่เสวยอารมณ์ มันไม่รับรู้ มันไม่เป็นขี้ข้าของกิเลส มันก็มีความสุขของมัน ถ้ามีความสุขแล้ว เวลาเราจะใช้ปัญญา ปัญญาในพระพุทธศาสนาเขาเรียกภาวนามยปัญญา ปัญญาชำระล้างกิเลส

สุตมยปัญญาคือปัญญาการศึกษา เรามีการศึกษา มีทางวิชาการ นี่สุตมยปัญญา ศึกษาจากครูบาอาจารย์ ศึกษาจากทางวิชาการมา ศึกษามาเพื่อเป็นปัญญาของเรา ใครมีการศึกษา โลกเขาบอกว่าต้องมีการศึกษา ต้องมีปัญญา ถูกต้อง ถ้ามีปัญญาอย่างนั้นปัญญาโลกๆ ไง ปัญญาที่จะยืนอยู่ในสังคม จะยืนอยู่กับโลก ประเทศชาติจะพัฒนาเพราะทรัพยากรมีวุฒิภาวะ เพราะทรัพยากรของเราเป็นผู้ฉลาด ทรัพยากรมนุษย์จะทำให้ในสังคมนั้น ชนชาตินั้นเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา เพราะในการวิจัย การกระทำของสติปัญญาอันนั้น อันนั้นเป็นเรื่องโลกๆ นี่ปัญญาของโลก สุตมยปัญญา 

จินตมยปัญญา เห็นไหม จินตนาการ จินตนาการแล้วก็ค้นคว้าวิจัยขึ้นมา นั่นจินตนาการของโลกๆ จินตนาการของนักปฏิบัติมันเพริศแพร้วยิ่งกว่านั้น เวลาจิตมันสงบแล้วมันรู้เห็นนิมิต มันเห็นต่างๆ ขึ้นมา มันไม่เคยรู้เคยเห็นขึ้นมา มันไปเห็นความเวิ้งว้างขึ้นมา มันบอกว่านั่นเป็นนิพพาน มันจะเป็นนิพพานเพราะมันเห็น นิมิตมันคือเป้าหมาย นิมิตมันเป็นสิ่งที่บอกคุณภาพของสิ่งนั้น เห็นไหม นิมิตหมาย

นี่เหมือนกัน พอมันไปเห็นความว่าง เห็นความเวิ้งว้าง มันก็นิมิต นิมิตก็คือนิมิต ความว่างในคุณธรรมมันไม่เป็นอย่างนั้น ความว่างของโสดาบัน ความว่างของพระสกิทาคามี ความว่างของพระอนาคามี ความว่างของพระอรหันต์ มันไม่เป็นความว่างแบบจินตนาการอย่างนี้ ถ้าจินตนาการอย่างนี้ มันเป็นจินตนาการขึ้นมา จินตนาการโดยกิเลส เพราะกิเลสมันยังมีอยู่มันก็จินตนาการของมัน นี่จากธรรมสู่โลกไง จากธรรมสู่โลกก็ศึกษาจากธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา นิพพานคือความว่าง นิพพานคือความเวิ้งว้าง นิพพานคือสิ่งที่ไม่มีตัวตน

ไม่มีตัวตนมันก็บอกว่ามันไม่มีตัวตน ไม่มีตัวตนแล้วใครเป็นคนพูดล่ะ ไม่มีตัวตน เพราะจิตเป็นนามธรรม มันบอกไม่มีตัวตนแต่มีเราอยู่ ไม่มีตัวตนแต่บัญญัติไว้เลย ไม่มีตัวตนกลัวเดี๋ยวภาวนาจบแล้วออกไปจะไปสื่อความหมายไม่ได้ พยายามจะจำให้ได้ แต่จำไม่ได้เลย ถ้ามันมีกิเลสมันเป็นอย่างนี้ เพราะมันจินตนาการไง จินตมยปัญญามันถึงไม่ใช้ชำระล้างกิเลส แต่มันก็เป็นวิวัฒนาการของใจ ถ้าใจมีวิวัฒนาการ ใจจากปุถุชนเป็นกัลยาณปุถุชน มันต้องมีวิวัฒนาการ มันก็จากโลกสู่ธรรม เพราะมันโลก

เกิดมาเป็นโลก เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาเป็นคน เกิดมาเป็นเทวดา อินทร์ พรหม นี่เป็นโลก โลก ๓ โลกธาตุ กามภพ รูปภพ อรูปภพ เป็นเรื่องโลกธาตุ เป็นของวัฏฏะทั้งนั้น มันไม่มีอะไรเป็นผลจากวัฏฏะหรอก ในเมื่อมันเป็นโลกแล้วเราจะเอาโลกเข้าสู่ธรรม ถ้าเอาโลกเข้าสู่ธรรม ทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจสงบแล้ว เห็นไหม จากโลกจะเข้าสู่ธรรม พัฒนาการของจิตมันจะพัฒนาขึ้นไป จากปุถุชนเป็นกัลยาณปุถุชน

จากกัลยาณปุถุชนแล้วเราฝึกหัดใช้ปัญญา ปัญญาในภาวนามยปัญญา ปัญญาในเมื่อมันยังก้าวเดินไม่ได้ มันต้องฝึกหัดของมัน ฝึกหัดคือว่าพยายามโน้มน้าวไปให้เห็นกาย ให้เห็นเวทนา ให้เห็นจิต ให้เห็นธรรม เพราะอะไร เพราะกาย เวทนา จิต ธรรม มันเป็นที่ออกหาแสวงหาผลประโยชน์จากกิเลสตัณหาความทะยานอยาก

กิเลสไง กิเลสคือตัณหา กิเลสคือความไม่รู้ ความไม่รู้มันเป็นนามธรรม แล้วมันจะอะไรล่ะ ก็อาศัยความคิดไง อาศัยความคิด คิดนู่นคิดนี่ คิดดี มันยุแหย่ มันอาศัยออกไปหาผลประโยชน์ เรื่องกาย กายก็เป็นของเรา เราเกิดเป็นมนุษย์ เราเกิดมาเราจะเป็นจักรพรรดิ เราเกิดมาเราจะเป็นยอดคน เราเกิดมา โอ๋ยมันยึดน่ะ เวทนาๆ ใครไปทำให้ไม่พอใจมันโกรธ ถ้ามีความสุข ความสุขอยู่กับเราเดี๋ยวเดียว นี่เวทนา จิตเดี๋ยวเศร้าหมอง เดี๋ยวผ่องใส จิตมันอยู่ได้ อยู่ไม่ได้ 

เวลากิเลสที่มันออกไปแสวงหาผลประโยชน์ ออกไปทำลายเรา มันก็อาศัยตรงนี้เป็นเครื่องมือ เพราะกิเลสถ้าเอาเฉพาะกิเลสมาขังไว้ กิเลสมันเป็นความรู้สึก กิเลสมันเป็นตัณหาความทะยานอยาก กิเลสมันเป็นนามธรรม มันจะไปฆ่าใคร ถ้ากิเลสมันไม่มีเครื่องมือออกไปหาผลประโยชน์ของมัน มันจะไปทำร้ายใครล่ะ แต่นี่เพราะมันเป็นอวิชชา มันเป็นพญามารมันครอบงำหัวใจ มันครอบภวาสวะ มันก็เอาสิ่งนี้ออกไปทำกรรม 

ถ้าออกไปทำกรรม พอจิตมันสงบแล้ว ถ้ามันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม แล้วมันจับกาย จับเวทนา จับจิต จับธรรม เข้ามาแยกแยะ นี่ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่จะชำระล้างกิเลส ปัญญาที่จะถอดจะถอน ปัญญาที่ชำระล้างมัน เห็นไหม ถ้าปัญญาอย่างนี้มันเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นมาจากไหน จากโลกสู่ธรรมๆ พอมันสู่ธรรมๆ มันคืออะไร คือมัชฌิมาปฏิปทาไง คือความพอดีความสมดุลของมันไง

ถ้าจิตมันไม่สงบมันก็ไม่รู้ไม่เห็นอะไรได้ ถ้าจิตไม่สงบมันก็เป็นสัญญาทั้งหมด สัญญามันก็เอาธรรมมาเป็นโลก เอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอาธรรมของครูบาอาจารย์มา แล้วก็บอกว่า “ฉันรู้ ฉันเห็น ฉันพิจารณากาย ฉันทำของฉันมา” มันจำมาทั้งนั้น เพราะมันจำมามันถึงอธิบายไม่ได้ว่าที่มาที่ไปมันเป็นอย่างไร สมาธิทำอย่างไร อะไรเป็นสมาธิ แล้วสมาธิเวลามันออกใช้ปัญญา ปัญญามันเกิดมาจากไหน ปัญญาที่จิตมันไปรู้ มันรู้อะไร ก็บอกปัญญาที่รู้ก็รู้แก้วแหวนเงินทองไง ปัญญาเขารู้นิพพานไง ปัญญาเขารู้อกุปปธรรมไง

อกุปปธรรม มันเกิดจากสัมมาสมาธิที่มันวิปัสสนาในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม มันไม่ไปเกิดเป็นวิบากเป็นผลอย่างนั้นหรอก ถ้ามันเกิดจากผลอย่างนั้น มันต้องมีการกระทำ มันต้องเห็นหน้ากิเลส กิเลสของเรา กิเลสในหัวใจของเรา หน้าตามันเป็นแบบใด กิเลสในหัวใจของเรา ถ้าใครไม่เห็นหน้ากิเลสของตัว แล้วมันจะชำระกิเลสของตัวได้อย่างไรล่ะ

ในเมื่อกิเลสมันครอบงำอยู่ในหัวใจ ดูสิ กิเลสอยู่ในหัวใจของสัตว์โลก กิเลสมันอยู่ในหัวใจคนอื่น เขาก็ทำร้ายหัวใจของเขา ทำร้ายภวาสวะ ทำร้ายภพของเขา ทำกรรมไง ทำกรรมอยู่กับจิตของเขา จิตของเขาจะได้รับกรรมของเขาที่เขาทำดีทำชั่วอันนั้น ถ้ากิเลสบนหัวใจของสัตว์โลกมันก็เป็นเรื่องของเขาทั้งนั้น มันไม่มีผลมาถึงจิตของเรา มันจะมีก็เวลาสร้างเวรสร้างกรรมที่กระทบกระเทือนกัน เวรกรรมที่กระทบกระเทือนกัน มี แต่ว่าเราจะชำระล้างกัน จะชำระล้างคือคุณงามความดีระหว่างจิตของเขากับจิตของเรา มันเป็นไปไม่ได้ จิตของเขา เขาก็ดูแลของเขา จิตของเรา เราก็ดูแลของเรา เวลาพัฒนาการของมันก็พัฒนาการในดวงจิตนี้

แล้วกิเลสมันอยู่ไหนล่ะกิเลสมันอยู่ไหนล่ะ?

แต่ถ้าจิตมันสงบแล้ว ถ้ามันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม มันจับได้ มันสะเทือนกิเลส เวลาเห็นกายนี่ขนพองสยองเกล้า เวลาจิตสงบแล้ว จิตสงบแล้วจิตมีกำลังแล้วจับเวทนา ถ้าจับเวทนา เอ๊อะทำไมมันจับได้ล่ะ แต่เดิมถ้าจิตไม่สงบ เวทนามา โอ้โฮยเจ็บสองชั้นสามชั้น เจ็บจนหน้าบิดหน้าเบี้ยวเลย นี่เวทนาเป็นเราไง ก็เวทนามันสักแต่ว่าเวทนา มันเจ็บทำไมล่ะ อ้าวก็เวทนามันสักแต่ว่าเวทนา เวทนามันไม่ใช่เรา เราก็ไม่ใช่เวทนา แต่เวลามันเสียใจ มันทุกข์ใจ แล้วเจ็บทำไมล่ะ ทำไมมันเจ็บล่ะ

แต่ถ้าจิตมันสงบ เราพุทโธๆ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ จิตสงบแล้ว เวลาสิ่งใดมันสะเทือนใจ มันจับมับความคิดที่มันเสียใจ ความคิดที่เสียใจนี้จะจับ ความคิดคือมันประกอบไปด้วยอะไร ความคิดนี้เป็นรูป ความคิดนี้เป็นรูปแล้ว สำเร็จรูปมาแล้ว เพราะความคิดมันเกิดแล้ว แล้วความสำเร็จรูปมันมาได้อย่างไรล่ะ 

มันมาได้จากสัญญา ถ้าเราไม่มีสัญญาข้อมูลอันนี้ เราจะเจ็บช้ำน้ำใจไปกับมันไหม เราเจ็บช้ำน้ำใจไป มันก็เกิดจากสัญญา พอสัญญามันเขี่ยออกมา สังขารมันก็ปรุง เขาว่าเราอย่างนั้น มันไม่ดีอย่างนี้ สังขารมันก็ปรุง พอปรุงไปมันมีวิญญาณรับรู้ ถ้าไม่มีวิญญาณรับรู้ มันเป็นอารมณ์ไม่ได้ วิญญาณรับรู้ วิญญาณในขันธ์ ๕ วิญญาณรับรู้ รับรู้ก็เป็นรูป รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ถ้าจิตสงบแล้วมันจับได้ ถ้าจิตสงบ

อย่าเอาธรรมมาเป็นโลก สิ่งนี้มันเป็นสมบัติของครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์องค์ใดท่านปฏิบัติได้ ท่านพูดเรื่องนี้ชัดเจนมาก แต่ของเราจะเอาธรรมมาเป็นโลก เอาธรรมเป็นโลกคือว่าเราทำได้ไง ทั้งๆ ที่กิเลสทั้งนั้น ทั้งๆ ที่เรื่องโลกๆ ทั้งนั้น

จากโลกสู่ธรรม จากโลกสู่ธรรมคือจากความมุมานะของเรา จากการกระทำของเรา ถ้าเราทำจิตของเราสงบได้ จากโลกๆ นี่แหละ แล้วถ้าจิตสงบแล้วเราเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม ถ้าเห็นอารมณ์ความรู้สึก ถ้าเราจับของเราได้ เราพิจารณาได้ เราแยกแยะของเราได้ เวลาเราจะทำสมถะ เราทำสมาธิ กิเลสมันเพ่นพ่านอยู่บนหัวใจ เราทำสิ่งใดก็ล้มลุกคลุกคลานไปหมดล่ะ ทำสมาธิแสนยาก แสนยาก แสนยาก

แต่เพราะเรามีสติ เพราะเรามีความมุมานะ เรามีความเข้มแข็ง เรากำหนดพุทโธๆ ของเรา เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิของเรา จนจิตของเราเป็นสมาธิเข้ามาได้ จิตของเราสงบได้ จิตของเรามีความสุขได้ นั่นคือสมถะ นั่นคือสมาธิ นั่นคือปัญญาที่ทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจสงบแล้วฝึกหัดใช้ปัญญา ปัญญาอย่างนี้ถ้ามันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง 

จิตสงบแล้ว จิตสงบคือจิตมันเป็นความจริง เพราะมันสงบมันถึงมีความสุข เพราะมันสงบมันถึงเป็นตัวตนของเรา เพราะมันสงบเราถึงมีสติปัญญา เพราะสงบเราถึงบริหารจัดการได้ เพราะเราบริหารจัดการได้ เราถึงน้อมไปเห็นกาย เห็นเวทนา เพราะจิตมันจริง 

ถ้าจิตมันจริง จิตเป็นสัมมาสมาธิจริงๆ จากโลกๆ โลกความเป็นจริง อยู่กับโลกแห่งความเป็นจริง ถ้าจิตเป็นความเป็นจริง จิตเป็นอิสรภาพขึ้นมาเป็นตัวเป็นตนของเรา มันเป็นความจริงของเราเอง เราเองเพราะเรามีสติปัญญา เราใช้สติปัญญาของเราพิจารณาของเรา ใช้ปัญญาอบรมสมาธิของเรา ใช้บริกรรมพุทโธของเรา จนจิตมันสงบเข้ามาได้ มันเป็นความจริงเพราะจิตมันจริง เพราะสมาธิมันจริง เป็นสัมมาสมาธิมันถึงน้อมไปเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง ถ้าเห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง นั่นคือวิปัสสนาตามความเป็นจริง สติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง

ไม่ใช่สติปัฏฐาน ๔ ที่เรานึกเอา เราจินตนาการเอา แล้วเราก็บอกว่าจากธรรมสู่โลก เพราะเราศึกษามา ในอภิธรรมมันมีมาทั้งนั้น ศึกษาในประไตรปิฎก ศึกษามาจำได้หมดล่ะ แล้วมันก็สร้างภาพให้เป็นอย่างนั้น แล้วก็พูดให้เป็นอย่างนั้น พอพูดจบแล้วยังไม่ใช่ความจริงในหัวใจนะ ยังต้องเทียบไปด้วยว่าอยู่หน้านั้น อยู่บรรทัดนั้นนะ ยังจะไปเอาธรรมมาอ้างอิง เอาธรรมว่าเป็นธรรมสู่โลกไง เอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ-เจ้า เอาความเห็นของตัวแล้วก็บิดเบือนออกไป พูดออกไปให้เป็นโลกๆ เอาธรรมมาสู่โลกมันจะเป็นความจริงมาจากไหนล่ะ 

แต่ครูบาอาจารย์ของเราจากโลกสู่ธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากโลกสู่ธรรม จากเจ้าชายสิทธัตถะสละราชวังออกมา ออกไปรื้อค้นอยู่ ๖ ปี ล้มลุกคลุกคลานขนาดไหน โลกทั้งนั้น จากโลกสู่ธรรม พอสู่ธรรมสัจ ธรรมเกิดขึ้นมาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระพุทธ มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ากับพระธรรม รัตนะสอง เทศนาว่าการพระอัญญาโกณฑัญญะเป็นสงฆ์องค์แรกของโลก นี่รัตนตรัย รัตนะสามมีพร้อมสมบูรณ์

ครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติของท่านมา ท่านล้มลุกคลุกคลานมา วางธรรมวินัย วางข้อวัตรปฏิบัติ ให้เราก้าวเดินกัน แล้วเรา เรามีอำนาจวาสนานะ มีอำนาจวาสนาเพราะเราอยากประพฤติปฏิบัติของเรา ถ้าเราปฏิบัติของเรา เราทำความจริงของเราขึ้นมา จากโลกสู่ธรรม ทำความเป็นจริงจากครูบาอาจารย์ที่ท่านวางไว้ ท่านล้มลุกคลุกคลานมาๆ เห็นไหม ดูสิ คนขยันหมั่นเพียร คนมีความขยันหมั่นเพียร มีความวิริยะ มีความอุตสาหะ แล้วก็ทำงานของเขา ประสบความสำเร็จของเขา แล้วก็เอาผลงานนั้นมาให้เราดู เอาผลงานนี้มาเป็นการยืนยันกับเรา เราจะภูมิใจไหม

ดูสิ ในสังคมใดก็แล้วแต่ เขาทำสิ่งใดเขาอยากจะมีคนช่วยเหลือเจือจานเขาทั้งนั้น เราทำสิ่งใดล้มลุกคลุกคลาน อยากจะให้มันมีการอำนวยความสะดวกทั้งนั้น แล้วครูบา-อาจารย์ของเราท่านปฏิบัติมา ท่านก็ล้มลุกคลุกคลานมาอย่างนี้เหมือนกัน ถ้าล้มลุกคลุกคลานมาอย่างนี้ ล้มลุกคลุกคลานแล้วให้มันเป็นความจริงขึ้นมา จากโลกสู่ธรรม จากความเป็นจริงของเรา เราปฏิบัติตามความเป็นจริง ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม มันจะมีคุณธรรมในหัวใจ ถ้ามีคุณธรรมในหัวใจ เราก็ทำของเราด้วยความมั่นคงของเรา

โลกธรรม ๘ เขาจะติฉินนินทา เขาจะพยายามทำให้เราหวั่นไหว แต่ถ้าเราไม่มีหลักมีเกณฑ์เราก็เชื่อเขา เพราะอะไร เพราะทุกคนจะบอกว่า “อ้าวก็เขาปฏิบัติแล้ว เขาปฏิบัติกัน ดูสิ ถ้าเขาไม่เป็นความจริงขึ้นมา ทำไมคนปฏิบัติของเขามากมายมหาศาล ไอ้พวกเราการปฏิบัติทุกข์ๆ ยากๆ เหลือ ๒ คน เหลือ ๒” 

คน ๒ คนก็ให้เป็น ๒ คนที่จริงเถอะ ไอ้ของเขาจะมากมายขนาดไหน มันจากธรรมสู่โลก จากธรรมสู่โลกมันวิเคราะห์วิจัย มันเอามาขยายความได้ทั้งนั้น จากธรรมสู่โลกก็ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง

แต่พวกเรากรรมฐาน ๒ คน พูดไม่ถูก “สมาธิทำอย่างไร อะไรเป็นสมาธิ เอ๊ปัญญานี่ปัญญาอย่างไร” เราปฏิบัติไง ปฏิบัติ เห็นไหม เรียนรู้มากขนาดไหนวางไว้ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ แล้วเราปฏิบัติของเรา 

ถ้าจากธรรมสู่โลก ถ้าขยายความธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็ขยายความได้ เราขยายความได้แต่เราไม่รู้ เราซื่อสัตย์ เราซื่อสัตย์กับตัวตนของเรา เราจะเอาความจริงของเรา เราจะปฏิบัติของเราให้ได้ตามความจริงของเรา ถ้ามันยังไม่ได้ความสงบ เรายังไม่ได้ความสุข ยังไม่ได้ความจริง เรายังไม่พูด 

แต่เมื่อใดถ้าจิตมันสงบแล้ว มีกำลังแล้ว เราจะพูด เราจะพูดถึงสมาธิทำแบบนี้ แล้วถ้าจิตมันจริงแล้ว ถ้ามันออกไปเห็นกาย เห็นเวทนาตามความจริง เราจะพูด เราจะพูดว่าถ้าเป็นภาวนามยปัญญาเป็นอย่างนี้ มันรู้มันเห็นจริงที่เกิดขึ้นมา เวลาจิตมันจับของมันได้ จับกาย จับเวทนา จับจิต จับธรรม แล้วถ้าปัญญามันเริ่มหมุน ธรรมจักรมันหมุน เราจะเห็นเลยนะ เห็นว่าเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธัมมจักฯ กับพระอัญญาโกณฑัญญะ สิ่งนั้น สิ่งนั้นที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงเอง

แต่เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา พอจิตมันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง เรามาแยกแยะ เราจะเห็นเลย เราจะเห็นตามความเป็นจริงว่า สัจธรรม ธรรมจักรที่มันเกิดขึ้นจากใจมันเป็นแบบนี้ ปัญญาที่เป็นภาวนามยปัญญาที่มันหมุน มันหมุนอย่างนี้ ถ้าปัญญามันหมุนขึ้นมา เห็นไหม 

ดูสิ คนที่เขาทำอาหารขึ้นมา เขาต้องมีเตาของเขา เขาต้องมีเตาไฟ เขาต้องมีไฟ เขาต้องมีส่วนผสมของอาหาร เขาถึงทำอาหารออกมาเป็นถ้วยเป็นชามได้ ถ้าเขามีวัตถุดิบ เขาทำไม่เป็นมันก็เน่าเสีย ถ้าเขาไม่มีไฟมันก็สุกขึ้นมาไม่ได้ 

ไฟคือสมาธิ ตบะธรรม ถ้ามีตบะธรรม ถ้ามันมีสมาธิขึ้นมา มันมีปัญญาขึ้นมา ปัญญามันคืออะไรล่ะ มันคือจับกาย จับเวทนา จับจิต จับธรรม นั่นล่ะวัตถุ วัตถุดิบที่เราจะประกอบเป็นอาหาร เราจะแยกแยะของเราขึ้นมา ถ้ามันแยกแยะขึ้นมา ธรรมจักรมันเกิด เวลาภาวนามยปัญญา ปัญญาที่มันเกิดขึ้นมันเกิดขึ้นอย่างนี้ ถ้ามันเกิดขึ้นอย่างนี้ เราพิจารณาไปแล้ว แล้วปัญญาเกิดขึ้นมา ดูสิ ถ้าเขาทำอาหารขึ้นมา อาหารที่เขาจับใส่ภาชนะของเขา เขาลงหม้อลงไหของเขา ถ้ามันทำแล้วมันสุกขึ้นมา ถ้ามันผสมไม่เป็นมันก็ไม่อร่อย เราทำเอง เราก็กินเอง คนอื่นเขากินไม่ได้ 

นี่ไง พอพิจารณาไปแล้วมันปล่อย มันปล่อยมันยังไม่สมดุลของมัน เวลาธรรมจักรมันหมุน มันหมุนเข้าไป มันยังไม่สมดุล มันก็ไม่มรรคสามัคคี มันก็ไม่เป็นคุณธรรมขึ้นมา นี่เวลามันเป็นตทังคปหานไง เราฝึกเราหัดของเรา เราใช้ปัญญาของเรา ภาวนามยปัญญา ฝึกแล้วฝึกเล่า ทำแล้วทำเล่าขึ้นมา ให้มันเป็นจริงขึ้นมา พอมันสมดุลขึ้นมามันมัชฌิมา-ปฏิปทาของมันพอดี มันรวมลง เห็นไหม เวลามันขาด กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์

เวลาเราพูดกัน เราจะเอาธรรมเป็นโลก กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ มันก็ว่า “สักกายทิฏฐิ ๒๐ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕” ทุกคนพูดได้ ท่องได้ทั้งนั้น แม้แต่เทปมันยังพูดได้เลย ในคอมพิวเตอร์มันก็พูดได้ แต่มันไม่มีชีวิต มันไม่มีผลรับรู้ มันไม่มีกิเลส มันไม่มีมาร เพราะเทปน่ะ เทป เทปมันไม่มีชีวิต แต่มันมีไฟมันก็หมุนหน่อย ถ้าไม่มีไฟไม่มีพลังงานมันก็ไปไม่ได้ 

นี่เหมือนกัน สิ่งนี้เทปมันก็พูดได้ คอมพิวเตอร์มันก็พูดได้ แต่หัวใจมันทุกข์ หัวใจมันทุกข์ เราปฏิบัติ เราซื่อสัตย์กับตัวเราเอง เราจะเอาใจของเรา ถ้ามันเป็น มันเป็นอย่างไร มันเป็นมันต้องมีเหตุมีปัจจัย ถ้ามีเหตุมีปัจจัย เราทำของเรานะ 

จากโลกสู่ธรรมๆ ถ้าจิตเวลามันขาด อกุปปธรรม มันทึ่ง มันอึ้งนะ พอมันเป็นจริงขึ้นมาแล้วมันจะเข้าใจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความซาบซึ้ง

สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายที่เป็นอนัตตา ทุกอย่างนี้เป็นอนัตตา เราก็เคยเป็นแบบนั้น จับพลัดจับผลู สมาธิเดี๋ยวทำได้ เดี๋ยวทำไม่ได้ ปัญญามันหมุนไปเดี๋ยวมันก็เอียงข้าง ปัญญาใช้ภาวนาไปแล้วเดี๋ยวมันก็ล้มลุกคลุกคลาน นี่อนัตตา สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลาย ธรรมะเป็นธรรมชาติ มันเป็นอนัตตา สัจธรรม ธรรมะเป็นอนัตตา ธรรมะเป็นธรรมชาติก็จริงของมัน ก็จริงในวิธีการ จริงในวัฏฏะ มันก็เป็นอย่างนี้ ถ้าใครไม่รู้ไม่เห็นจริงมันก็ไม่จริง 

แต่ถ้าใครรู้เห็นจริง เวลาจริง เวลาพิจารณาซ้ำ ตทังคปหานมันปล่อยวางๆ เวลามันขาดล่ะมันขาดมันเป็นอนัตตาไหมโสดาบันเป็นอนัตตาไหม?

โสดาบันไม่เป็นอนัตตาหรอก มันเป็นอกุปปธรรม อฐานะที่จะไม่เสื่อมสภาพ สิ่งที่คงที่ตายตัวมันขัดแย้งกับธรรมชาติไหม ธรรมชาติมีอะไรบ้างที่มันคงที่ตายตัว ไม่มี แต่ถ้าเป็นอกุปปธรรมมันคงที่ตายตัว มันจะเหนือธรรมชาติไหม ถ้ามันเป็นจริง แล้วเรารู้เราเห็น แล้วเราเป็นน่ะ แล้วพอเราเป็นแล้วเห็นไหม

ดูสิ ครูบาอาจารย์ท่านเวลาท่านปฏิบัติขึ้นมาแล้วจะไปพูดกับใครล่ะ ก็พูดกับอาจารย์ไง พูดกับผู้รู้ไง แต่ถ้าไปพูดแล้ว ผู้รู้ยังอ้ำๆ อึ้งๆ แสดงว่าผู้รู้รู้ไม่จริงไง แต่ถ้าผู้รู้ถ้ารู้จริง เวลาครูบาอาจารย์ท่านสนทนาธรรมกัน เขาวัดผลกันอย่างนี้ ถ้าเขาวัดผลกันอย่างนี้ ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา ความจริงอันนั้นมันจะเป็นความจริง ถ้าเป็นความจริงขึ้นมานี่จากโลกสู่ธรรม เราก็มีคุณธรรมในใจ ถ้ามีคุณธรรมในใจอย่างนี้มันหวั่นไหวไหม จะสีลัพพตปรามาสไหม จะลูบคลำไหม

ไอ้คนที่ลูบคลำเพราะมันไม่รู้ไง ไอ้คนที่ลูบคลำเพราะมันไม่รู้จริง มันก็ต้องลูบคลำเพราะสงสัย 

แต่ถ้าคนรู้จริงมันไม่มีทางลูบคลำ มันจริงแท้แน่นอนในกลางหัวใจนั้น กลางหัวใจนั้นอกุปปธรรม แล้วจากโลกสู่ธรรม ในเมื่อพิจารณาอีก ๗ ชาติ แต่ในเมื่อจิตนี้เวียนว่ายตายเกิด มันก็ต้องทำสมาธิให้มากขึ้น เพราะก่อนหน้านั้นล้มลุกคลุกคลานมาตลอด เวลาปฏิบัติล้มลุกคลุกคลานมาตลอด ครูบาอาจารย์ท่านจะผ่านมาได้แต่ละองค์นะ ไม่ใช่ของง่ายๆ แต่มันก็ไม่สุดวิสัยของมนุษย์ 

เราก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง เราก็มีความตั้งใจเหมือนกัน ทำไมเราจะทำไม่ได้ เราก็ต้องมีความเพียร เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ด้วยความมุมานะของเรา ถ้ามีความมุมานะของเรา เราทำของเรา ถ้ามันจะผิดจะถูกก็เอา ก็ในเมื่อความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ เราทำของเรา มันจะผิดจะถูกมันก็จะสอนใจเรานี่แหละ มันจะผิดจะถูก ถ้ามันถูกมันก็รวมลง ถ้ามันไม่ถูก ไม่ถูกเพราะเหตุใด หาแง่หามุมของเรา หาอุบายวิธีการ อย่าทำซ้ำซากอยู่อย่างนั้น

ถ้ามันทำขึ้นมาได้ความสงบขึ้นมา มันก็เป็นผลของเรา ถ้ามีผลขึ้นมา เห็นไหม ทำขึ้นไปจนมันมีคุณธรรมขึ้นมา ถ้ามีคุณธรรมขึ้นมา อันนี้มันเป็นประสบการณ์ ในเมื่อประสบการณ์มีอย่างนี้แล้ว ขั้นตอนต่อไปมันต้องทำได้ ทำได้ เห็นไหม

การภาวนาที่ยากที่สุดคือการเริ่มต้น หญ้าปากคอกที่จะเข้าไปสู่สัจธรรม ทีนี้พอพาดกระแส ถ้ากายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ นี่พาดกระแสแล้ว พอพาดกระแสขึ้นไปมันจะสาวเข้าไป ถ้าสาวเข้าไป ทำความสงบให้มากขึ้น พอมากขึ้นแล้วค้นคว้าหาให้ได้ หาให้ได้ตรงไหน หาให้ได้ ดูสิ เวลาเราปฏิบัติขึ้นมา เวลาทำสมาธิขึ้นมา เราก็พยายามทำกิเลสให้พ้นออกไปจากความเพ่นพ่านในหัวใจ มันก็เป็นสมถะ เวลามันวิปัสสนา เวลามันเห็นกาย มันวิปัสสนาไป อันนี้มันจะเป็นบทเรียน

จิตก็เหมือนกัน พอเราทำความสงบมากขึ้นไปแล้ว ถ้ามันจะไปจับกาย จับเวทนา จับจิต จับธรรม มันก็จับของมันอีก พอจับของมัน มันเห็นของมัน มันพิจารณาของมัน มันแยกแยะของมันด้วยปัญญาของมัน ด้วยมรรคญาณ ด้วยธรรมจักร ไม่ใช่แยกแยะด้วยธรรมเป็นโลกนะ ธรรมเป็นโลกมันเอาธรรมะเป็นตัวตั้ง แล้วก็คิดด้วยความพอใจของตัว คิดด้วยความเห็นของตัว นั้นเอาธรรมมาเป็นโลก 

แต่ถ้าเราจะเอาโลกเป็นธรรม โลกก็คือเรา โลกก็คือความฟุ้งซ่าน โลกก็คือการทำแล้วจับพลัดจับผลู โลกคือความมักง่าย โลกคือทำแล้วมันไม่ได้ผล จับแล้วพิจารณาซ้ำๆ จากโลกๆ พิจารณาซ้ำๆ แล้วสิ่งที่เราพิจารณาซ้ำๆ มันเป็นการยืนยัน เป็นการยืนยันว่าเราได้แยกได้แยะสิ่งติดขัดติดข้องในหัวใจ มันจะแยกแยะของมันออก มันก็วาง ปล่อยวาง ปล่อยวางก็ตทังคปหาน แล้วเล่ห์กลมันก็เยอะขึ้น มันก็พลิกแพลงของมันไป เราตามไม่ทัน ตามไม่ทันเพราะเราเคยผิดพลาดมา ตั้งแต่ปฏิบัติมาเริ่มต้นมันหลอกลวงมา จนล้มลุกคลุกคลานมาขนาดไหน นั่นน่ะมายาของกิเลสมัน เวลาเราจะต่อสู้กับมัน เห็นไหม นี่เห็นหน้ามัน

คนจะชำระล้างกิเลสต้องเห็นกิเลส ต้องรู้จักกิเลส ถ้าคนไม่รู้จักกิเลสมันจะไปฆ่ากิเลสได้อย่างไร ถ้ามันจับมันมีความรู้สึกมันสะเทือนใจ ถ้ามันพอใจๆ มันทำได้แล้วมันก็พอใจของมัน แต่ถ้าทำไป ฟาดฟันมันแล้ว ชำระล้างมัน เวลามันปล่อยวางไป โอ้โฮยรสชาติมันแตกต่างกัน

เวลากิเลสมันให้ผลขึ้นมามันหลอกจนหัวปั่นเลย เสร็จแล้วพอสรุปขึ้นมาคือไม่ได้อะไรเลย แต่ถ้าเราใช้ปัญญาแยกแยะมันไป มันปล่อยวางไปแล้ว ผลของมันก็คือความว่าง ความสุข ความสงบ ความระงับ กิเลสมันยุบยอบลงๆ ทำแล้วทำเล่า ทำแล้วทำเล่า เวลามันขาด โลกนี้ราบหมดเลยนะ แล้วใครเป็นคนรู้ กิเลสมันอยู่กับใจดวงใด ใจดวงนั้นเป็นผู้รู้ เวลามันราบ มันราบออกจากหัวใจดวงนั้น ไม่มีสิ่งใดเป็นจุดเป็นต่อม เป็นลุ่มเป็นดอนบนหัวใจนั้นเลย ขาดหมด ว่างหมด สุขหมด แล้วทำอย่างไรต่อ

นี่ไง นี่จากธรรมสู่โลกไง ทำอยู่อย่างนี้ อยู่อย่างนี้มันก็ยังเกิด เห็นไหม ถ้าทำความสงบให้มากขึ้น พอมากขึ้นมันก็จะเข้าสู่มหาสติ มหาปัญญา พอมันไปจับกามราคะ จับกามราคะเป็นอสุภะถ้ามันจับได้ ถ้าจับไม่ได้มันก็ล้มลุกคลุกคลานอยู่อย่างนั้น ต้องมีครูบาอาจารย์คอยชักคอยนำ 

ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ ทิฏฐิมานะมันจะบอกว่า “ฉันรู้ ฉันเก่ง ฉันแน่ นี่คือนิพพาน” นิพพานเพราะว่าเอาธรรมมาเป็นโลก เอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัม-พุทธเจ้ามายืนยันกับใจของเรา เอาสัจธรรมที่มันมีอยู่แล้วมาอ้างอิงไง นี่กิเลสมันบังเงา 

แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์นะ ท่านจะคอยบอก คอยสอน คอยชี้แนะ แล้วเรามีสติมีปัญญาด้วยนะ แล้วถ้ามันจับได้มันสะเทือนเลื่อนลั่นนะ เวลาจับกิเลสแต่ละตัว จับหลานมันเอามาพิสูจน์ก็ยังยากพอสมควรแล้ว แล้วไปจับลูกมัน ไอ้นี่จะไปจับพ่อมัน พ่อมันยิ่งมีทิฏฐิมานะมีเล่ห์มีกล โอ้โฮการขุดคุ้ยหากิเลสไม่ใช่ของง่ายๆ การจะเจอหน้ามัน ดูสิ คนที่เขาคดโกงกัน เขาหนีหนี้ เขาจะไม่ให้มึงเห็นหน้าเลย ไอ้นี่มันมีอำนาจเหนือในใจ มันครอบงำหัวใจนี้มาเป็นที่อยู่อาศัยของมัน มันจะให้เห็นหน้ามัน ให้เห็นร่องรอยมัน เป็นไปไม่ได้เลย 

แต่ด้วยคุณธรรม ด้วยสัจธรรม ด้วยความเพียรชอบ ด้วยคุณงามความดีของเรา จากโลกสู่ธรรมๆ ด้วยความขยันหมั่นเพียร มันมีคุณธรรมคอยบอกเคล็ดแล้วมันจับได้ พอจับได้มันสะเทือนเลื่อนลั่น พิจารณาซ้ำพิจารณาซาก มหาสติ มหาปัญญานะ เวลามันสู้กัน ต่อสู้กัน โอ้โฮมหาศาลเลย นี่จากโลกสู่ธรรม

ถ้าสู่ธรรม พิจารณาแยกแยะ เล่ห์กลนี่น้ำป่า พิจารณาตรงไหนมาก็ไม่ทุกข์ยากเท่าตรงนี้ ตรงนี้ทุกข์ยากมาก ทำอย่างไรก็ผิด ทำอย่างไรก็ล้มลุกคลุกคลาน ทำอย่างไรก็เหลวไหล ขนาดเต็มที่นะ เราก็เต็มที่ของเรา เราก็สู้ของเรานี่แหละ แต่มันเต็มที่ ลื่นล้มหกล้ม มันพลิกมันแพลง เหมือนคนหาบของไปบนเลน มันไปไหนไม่รอดเลยล่ะ ล้มลุกคลุกคลานอยู่อย่างนั้น แต่ก็สู้ไม่ถอยๆ สู้มันอยู่อย่างนั้นแหละ สู้ด้วยปัญญา สู้ด้วยมหาสติ มหาปัญญา ไม่ใช่สู้ด้วยนอนจมนะ ไม่ใช่สู้ให้กิเลสมันขี่หัวนะ สู้มัน แต่กิเลสเป็นแบบนั้น

ทำบ่อยครั้งเข้า พิจารณาซ้ำๆ ซากๆ สู้กับมัน เล่ห์กลมันเปลี่ยนทุกวัน เล่ห์กลมันพลิกแพลงตลอดเวลา จนถึงที่สุดถ้ามันถอยร่น เพราะกำลังมากขึ้นแล้ว พอมากขึ้นมันก็ตามทัน พิจารณาได้มันก็ปล่อยของมัน ละเอียดขึ้น มากขึ้น เร็วขึ้น ซ้ำไปแล้วซ้ำแล้วซ้ำเล่า เล่ห์กลมันมหาศาล ถึงที่สุดมันไปทำลายกันกลางหัวใจนั่นน่ะ ทำลายแล้วยังมีส่วนเหลือ พิจารณาต่อเนื่องกันไปจนถึงว่างหมด

จากโลกนะ จากโลกนะ ถ้าจากธรรมมามันล้มลุกคลุกคลาน จากธรรมมาสู่โลกมีแต่ของปลอม จากธรรมมาสู่โลกมันเอาธรรมะมาอ้างอิง เอาธรรมครูบาอาจารย์มาอ้างอิง แต่นี่จากโลกสู่ธรรม ไม่ใช่จากธรรมสู่โลก 

ถ้าจากโลกสู่ธรรม โลกคือโลกทัศน์ โลกก็คือเรา ถึงที่สุดแล้วจะเข้าไปสู่ภวาสวะ จะเข้าไปสู่ปฏิสนธิจิต จะเข้าไปสู่จิตเดิมแท้ที่ผ่องใส ไม่มีใครรู้ใครเห็นมันหรอก ไม่มีใครรู้ใครเห็นตัวเราเอง ไม่มีใครรู้ใครเห็นถึงอวิชชา ตัวพ่อมัน ตัวเจ้าวัฏจักรจับไม่ได้เลยล่ะ แต่ถ้าเป็นอรหัตตมรรคเข้าไปจับมันได้ ถ้าจับได้แล้วใช้ปัญญา ปัญญาไม่ใช่ปัญญาอย่างที่เราใช้

ถ้าเป็นมหาสติ มหาปัญญามันรุนแรงมาก น้ำป่า แต่นี้มันเป็นเรื่องนโยบายอย่างเดียว มันเป็นเรื่องการครอบงำ ไม่ใช่เรื่องกำลัง จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส เดี๋ยวก็ผ่องใส เดี๋ยวก็เศร้าหมอง มันละเอียดจนไม่รู้มันเป็นสุขเป็นทุกข์อย่างไร ไม่รู้ แต่มันละเอียด มันเป็นไฟสุมขอน ถึงจะจับได้ จับได้แล้วมันต้องใช้ปัญญาญาณ ปัญญาอย่างอื่นไปทำสิ่งนี้ให้ฟุ้งไม่ได้ ปัญญาญาณเข้าไปถึงจับต้องอันนี้ แล้วมัธยัสถ์ถึงเป็นกลาง ทำลายกันเอง ทำลายภวาสวะ ทำลายภพ จากโลกสู่ธรรมโดยสมบูรณ์เป็นสัจธรรม 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแบบนี้ เทศนามา เทศนาว่าการวางธรรมวินัยนี้ไว้เพื่อความมั่นคงของบริษัท ๔ แล้วก็เป็นวันนี้อีกเหมือนกันที่องค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน วันวิสาขบูชา วันเกิด วันตรัสรู้ และวันปรินิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เราเป็นลูกศิษย์ เราเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เราเป็นบริษัท ๔ เราจะต้องปฏิบัติบูชา เราจะปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อให้หัวใจของเราเป็นธรรม เอวัง